วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

คำสอนพระอาจารย์

คำสอนพระอาจารย์
โสภณ เปียสนิท
........................................

                พระอาจารย์แนะวิธีการกำจัดทิฐิมานะอย่างง่าย ด้วยการทำงานรับใช้ผู้อื่น เช่นการล้างห้องน้ำ การจัดรองเท้า การทำความสะอาดสาธารณสถาน เมื่ออุปานทาน ความยึดมั่นถือมั่นในตัวเองลดลง ทุกข์ก็ลดลง จิตก็ใสมากขึ้นตามลำดับ เห็นผิดเป็นผิด เห็นถูกเป็นถูก คนพาลเอาชนะผู้อื่น นักปราชญ์เอาชนะตนเอง

                พระอาจารย์เล่าถึงปฐมเหตุแห่งการจองเวรของพระเทวทัตต่อพระพุทธองค์ ว่า ชาตินั้นทั้งสองคนเกิดเป็นพ่อค้าด้วยกัน ซื้อขายแลกเปลี่ยนสิ่งของจากชาวบ้าน เร่ร่อนไปเรื่อย รอนแรมถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต่างแยกย้ายกันเข้าหมู่บ้าน ร้องซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าไปตามลำดับ

                เทวทัตในชาตินั้นร้องขายสินค้าถึงบ้านผู้ดีตกยากหลังหนึ่ง มียายกับหลานอยู่สองคน หลานต้องการให้ยายซื้อของชิ้นหนึ่ง ยายไม่มีเงินซื้อ จึงหยิบถาดใบหนึ่งเพื่อขอแลก เทวทัตจับถาดขัดถูดูก็รู้ทันทีว่าเป็นทองคำแท้แต่ต้องการกดราคาลงอีก จึงแกล้งบอกว่ายังมีค่าน้อยเกินไปแลกไม่ได้ และแกล้งเดินหนีไป คิดว่าเดี๋ยวจะกลับมาแลกอีกครั้งด้วยของที่ราคาต่ำลง      

                พระพุทธองค์ในพระชาตินั้นเดินตามหลังมา ถึงบ้านหลังนี้ ยายและหลานขอแลกเหมือนเดิม เมื่อเห็นว่าเป็นถาดทองคำ พระโพธิสัตว์จึงมอบของทั้งหมดที่มีให้กับยายและหลาน รับถาดทองคำแล้วเดินทางกลับ

                เทวทัตกลับมาอีกครั้งหนึ่งในตอนบ่าย รู้ว่าเพื่อนพ่อค้าของตนแลกถาดทองคำตัดหน้าไปก่อนแล้ว จึงเกิดความโกรธจนแทบคลั่ง รีบวิ่งตามไปเพื่อเอาถาดทองคำคืน เพราะตนได้มาเจอและคุยกับเจ้าของถาดไว้ก่อนแล้ว ตามมาทันที่ริมฝั่งน้ำ พบพระพุทธองค์ขึ้นเรือข้ามฟากออกจากฝั่งไปแล้ว จึงร้องตะโกนเรียกให้กลับมา

                เมื่อเรือข้ามฟากไม่กลับมารับ และไม่สามารถตามได้ทัน ความแค้นคุกรุ่นเผารนจิตใจจนหมองไหม้อยู่ภายใน จึงหยิบทรายขึ้นมาหนึ่งกำมือแล้วกล่าวคำอาฆาตว่า ข้าขอจองเวร ตามล้างผลาญไปทุกชาติเท่ากับเม็ดทรายในกำมือ

                หลังจากนั้นมาเทวทัต เมื่อเกิดมาพบพระโพธิสัตว์จะก่อเวรสร้างกรรมต่อพระองค์เรื่อยมา แต่ยังมีกรรมดี คือเมื่อไม่พบพระองค์ก็จะทำกรรมดีอยู่เรื่อยๆ เหมือนกัน ดังนั้นแม้พระเทวทัตจะถูกแผ่นดินสูบ แต่ยังได้รับพุทธพยากรณ์ว่า ต่อไปหลังพ้นกรรมจากอเวจีมหานรก นานประมาณแสนกัลป์แล้ว จะกลับมาเกิดเป็นพระปัจเจกพุทธนามว่า อัฏฐิสสระ แต่ด้วยกรรมด่าว่าพระเจ้าพระสงฆ์จะมีกลิ่นปากแรง ใครทนฟังธรรมเทศนาจนจบจะบรรลุธรรมแน่
                พระอาจารย์ย้ำว่า ใครที่มักใช้ความคิดของตนตำหนิด่าว่าพระสงฆ์อยู่เสมอ ทั้งที่เป็นปุถุชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลส ให้ระวังหน่อย เพราะหากพลาดพลั้ง คนผู้นั้นจะต้องรับกรรมหนัก ตอนหนึ่งพระอาจารย์เล่าว่า คุณยายมหาอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง มีลักษณะเด่นประการหนึ่งคือ คุณยายไม่เคยน้อยใจในชีวิต ไม่ว่าจะประสบเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอย่างไรก็ไม่น้อยใจ มองแต่แง่ดีตลอด

                เมื่อมาอยู่วัดปากน้ำใหม่ ๆ เพราะความที่มีร่างกายผอมดำเกร็ง หลายคนรังเกียจปฏิบัติต่อยายไม่ดี แต่ยายไม่ท้อใจไม่น้อยใจ รับเตียงเก่ามาทำความสะอาด เตียงนั้นมีตัวเรือดกัดกิน ยายต้องค่อยๆ จับตัวเรือดไปปล่อยอย่างสันติวิธีโดยไม่ทำลายชีวิต มุ้งเก่าท่านก็ซัก ขาดท่านก็ปะ ฉันข้าวไม่มีคนร่วมวง คนนำข้าวมาให้หน้าบอกบุญไม่รับ ท่านก็ฉันของท่านไปได้ไม่ว่าอะไร คิดในแง่ดีไว้เสมอ ฉันคนเดียวก็ดีจะได้ฉันไปปฏิบัติธรรมไป ธรรมะจึงก้าวหน้าไปเรื่อยไม่หยุด ใจใส่ใจสว่าง ไม่โมโห ไม่ขุ่น

                ยายปฏิบัติธรรมแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน วันหนึ่งนั่งสมาธิ 2 กะ กะละ 6 ชั่วโมง รวมสองกะ 12 ชั่วโมงในโรงทำวิชชา หลวงปู่วัดปากน้ำทราบว่า คุณยายเอาจริงเอาจังจนเชี่ยวชาญดีแล้วจึงมักมอบหมายงานพิเศษให้ทำบ่อย ครั้งหนึ่ง กองทัพหนูบุกนากัดกินต้นข้าวที่สุพรรณบุรี ชาวบ้านมาขอให้หลวงปู่ช่วย หลวงปู่เทศน์อบรมชาวบ้านให้มั่นคงในทาน หมั่นรักษาศีล นั่งสมาธิ กำชับให้ทำเองบ่อยๆ ก่อนให้กลับบ้าน

หลวงปู่มอบหมายคุณยายมหารัตนะอุบาสิกาจันทร์สงเคราะห์ คุณยายใช้วิชาธรรมกายนั่งสมาธิอธิษฐานแผ่เมตตาให้ชาวบ้านและหนู เกิดเหตุการณ์แปลก คือนาที่กล่าวถึงรอดพ้นจากกองทัพหนูอย่างอัศจรรย์ ทั้งที่แปลงนาใกล้เคียงถูกหนูกัดกินเสียหายแทบไม่เหลือ เรื่องนี้เป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวางในหมู่ศิษย์ของหลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ต่างประทับใจในเมตตาธรรมของหลวงปู่และคุณยาย สมตามคำสวดมนต์ที่ว่า สังฆัง เม สรณัง วะรัง พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของเรา

การปลูกฝังความคิดเพื่อการสร้างชาติของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ประเทศอังกฤษปลูกฝังด้วยการให้เยาวชนศึกษาละครของเช็คสเปียร์ ผ่านโรงละครทั่วประเทศ ญี่ปุ่นใช้การ์ตูนที่มีเนื้อหาสาระดีส่งเสริมให้เด็กอ่าน ส่วนไทยไม่มีแบบแผนอะไรเป็นพิเศษ เด็กและเยาวชนเอาขุนช้าง ขุนแผน และศรีธนญชัยเป็นแบบอย่าง ผลคือเรามีคนฉลาดแบบศรีธนญชัยอยู่มาก

พระอาจารย์วิพากษ์ว่า คนสมัยใหม่ไม่ได้เอาพระเป็นต้นบุญต้นแบบ คิดว่าพระก็อยู่ของพระ คนละส่วนกับชีวิตประจำวันของชาวบ้าน คนทั่วโลกคิดเหมือนกันหมดว่า คนทุกคนเกิดมาเพื่อศึกษาเล่าเรียนเมื่อวัยเยา ครองเรือนเมื่อเติบโต ดำรงชีวิตสืบต่อวงศ์ตระกูล แล้วก็ตายจากไป

คนเรียน (ทางโลก) มากมีความถือตัวสูง มักทำตัวเหมือนชาล้นถ้วย ตามนิทานเซ็น เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งมีชาวบ้านผู้มียศศักดิ์สูงมีความรู้สูงเข้าพบพระอาจารย์นิกายเซ็นรูปหนึ่ง ท่านปฏิสันถารอย่างดีแล้วรินชาให้ดื่ม แต่เมื่อชาเต็มถ้วยแล้วท่านยังรินต่อไปโดยไม่หยุด น้ำชาไหลนองพื้น คนผู้มีมานะทิฐิสูงเตือนพระอาจารย์ว่า น้ำเต็มแล้วหลวงพ่อ รินอีกทำไมเล่า

พระอาจารย์ตอบว่า โยม น้ำเต็มถ้วยแล้ว รินเติมอีกไม่ได้ ก็เหมือนกับคนที่มีทิฐิมาก ถือตัวว่ามีความรู้มาก แม้มาวัดก็ไม่ได้ความรู้เพิ่มเติม เพราะถ้วยมันเต็มแล้ว เติมอีกก็ไม่มีประโยชน์ จึงมีสุภาษิตเตือนกันต่อมาว่า อย่าทำตนเป็นชาล้นถ้วย เพราะจะไม่ได้ความรู้ใดๆ เพิ่มเติมอีก

คนมาวัดต้องทำบุญให้ครบ 3 ด้าน เรียนรู้เรื่องการบริจาคทาน การรักษาศีล และการสวดมนต์เจริญภาวนา เพราะทำบุญแต่ละด้านให้ผลไม่เหมือนกัน การทำทาน ทำให้มีทรัพย์สินเงินทอง การรักษาศีลทำให้ร่างกายแข็งแรง อายุยืน ผิวพรรณดี มีความสุข ภาวนาทำให้มีสติปัญญาดี

อยากมีทรัพย์สินเงินทองต้องทำทานไว้เสมอ อยากมีร่างกายแข็งแรงผิวพรรณดีมีความสุข อายุยืนนานต้องรักษาศีล อยากมีสติปัญญาดีต้องสวดมนต์ภาวนา ทุกคนจึงควรทำบุญให้ครบทั้งสามด้าน ใครบ้างที่ต้องการมีทรัพย์ แต่ร่างกายไม่แข็งแรง  ใครบ้างที่ต้องการเพียงแค่ร่างกายแข็งแรง แต่ไม่มีปัญญา ไม่มีแน่ จึงเป็นความจำเป็นสำหรับทุกคนที่ต้องทำบุญให้ครบ

พระอาจารย์ให้ข้อสังเกตไว้ว่า วงเหล้าเป็นที่กระพือความชั่วของมนุษย์ นับว่าแหลมคมท้าทายความคิดยิ่งนัก เพราะปกติแล้ว คนดื่มเหล้าแล้วก็เล่าเรื่อง พอเล่าเรื่องแล้วก็เปลืองเหล้า เรื่องที่เล่ามักเป็นเรื่องซ้ำๆ ในทางแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ควางเก่งกล้าสามารถของตนเอง ความไม่ดีของคนอื่นเสมอ

คบคนพาลความดีสิ้นสูญ มีสุภาษิตเตือนใจทำนองนี้อยู่มากมาย เช่น คบคนเช่นใดเป็นไปเช่นนั้น กรรมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ บางทีสอนเปรียบเทียบด้วยคำกวีให้น่าฟังว่า ปลาร้าห่อพันด้วย  ใบคา ใบย่อมเหม็นคาวปลา คละคลุ้ง สำหรับผู้มีปัญญานำไปไตร่ตรองว่า เหตุใดคนเก่าๆ จึงให้ความสำคัญกับการคบคนถึงเพียงนี้ น่าคิดว่า ปัจจุบันนี้เราตระหนักรู้ความสำคัญกับการคบค้าสมาคมมากน้อยเพียงใด เด็กและเยาวชนเลือกคบมิตรด้วยความพิถีพิถันเพียงใด ผู้ใหญ่นำหลักการคบมิตรสอนบุตรหลานอย่างเป็นระบบหรือไม่ เพียงไร?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น