พระเจ้าปายาสิ นักทดลองสมัยพุทธกาล
โสภณ เปียสนิท
........................................
เมื่อตอนที่ผ่านมา ผมนำเสนอเรื่องที่พระอาจารย์เล่าให้ฟัง ในวันแรกที่เข้ารับการฝึกอบรมเรื่องชีวิต ณ บุญสถาน “สวนพนาวัฒน์” อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ยังมีเรื่องความเป็นนักทดลองค้นคว้าอย่างยิ่งของพระราชาพระองค์นี้ต่ออีกนิดหน่อย
ด้วยความสงสัยพระองค์ได้ถามพระว่า เทวดาหรือสัตว์นรกนั้นถ้ามีจริงทำไม่ข้าพระองค์มองไม่เห็นเล่า? พระกุมารกัสสปะตอบว่า ถ้าคนตาบอดบอกว่าพระจันทร์พระอาทิตย์ไม่มีจริงเพราะเขามองไม่เห็นพระองค์จะเชื่อคำพูดนั้นหรือไม่? เป็นอันว่าพระองค์เริ่มโน้มน้อมที่จะเชื่อมากขึ้น
แต่ยังไม่วายสงสัยจึงถามต่อไปว่า พระองค์เคยทดลองชั่งน้ำหนักคนใกล้ตาย ตายแล้วนำมาชั่งอีกครั้งกลับพบว่ามีน้ำหนักมากขึ้น แทนที่จะเบาลง แสดงว่าวิญญาณไม่มี ถ้ามี วิญญาณออกไปแล้ว ร่างนั้นน่าจะเบาลง เหตุใดจึงหนักขึ้น? พระตอบว่า พระองค์เคยตีดาบหรือไม่? เหล็กขณะร้อนน้ำหนักเบา เมื่อเหล็กเย็นลงน้ำหนักกลับหนักขึ้น เมื่อร่างกายอุ่นอยู่ ยังไม่เสียชีวิตจึงมีน้ำหนักเบา สิ้นชีวิตแล้วร่างกายเย็นจึงมีน้ำหนักขึ้นเป็นธรรมดา ไม่เกี่ยวข้องกับวิญญาณ
พระเจ้าปายาสิ แห่งเสตัพพยะนคร ประนมมือกล่าวคำด้วยศรัทธาว่า “แจ่มแจ้งจริงหนอ เหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง จุดประทีปในที่มืด ข้าพเจ้าขอนับถือพุทธศาสนาตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” เป็นอันว่า พระราชานักค้นคว้าเรื่องวิญญาณยอมแพ้ต่อปัญญาของพระเถระด้วยความจริงใจ
พระอาจารย์บอกว่าคนสมัยเก่าเขาเป็นนักปราชญ์ เมื่อไม่รู้ก็จะพยายามค้นคว้าหาความรู้อย่างสุดกำลัง เมื่อมีคนที่มีความคิดต่าง ก็จะพยายามถกเถียงหาแง่มุมด้วยปัญญา เพื่อเอาชนะ แต่เมื่อสู้ไม่ได้จริงๆ ก็ยอมรับนับถือด้วยความจริงใจ และศึกษาหาความรู้ไม่หยุด คนปัจจุบันนี้ เมื่อไม่เชื่อเรื่องวิญญาณแต่ไม่พยายามหาความรู้ จึงกล่าวได้ว่าไม่มีวิสัยของนักปราชญ์
ผู้เข้ารับการอบรมถามว่า “เราจะพิสูจน์เรื่องวิญญาณอย่างไรดี?” พระอาจารย์ตอบว่า “มี 2 วิธีให้โยมเลือกเอาเอง 1. รอให้ตายก่อนแล้วค่อยรู้ หรือว่า 2. ปฏิบัติธรรมอย่างเอาจริง (แค่ชีวิต) สำหรับผมเองขอใช้แค่ข้อ 2 แค่ครึ่งเดียวก็พอครับ อันนี้ผมคิดเอาเองในใจ ตามประสานักบุญบารมีอ่อน ไม่ได้พูดให้ใครฟัง
วันที่ 3 เมษายน 2550 เป็นวันที่สองแห่งการปฏิบัติ กิจกรรมประจำวันวนเวียนเหมือนเดิม ระหว่างการนั่งสมาธิรอบเช้ามืด และรอบเช้า ดูจิตตัวเองพบว่า มีอาการฟุ้งเหมือนเดิม แต่ที่ฟุ้งแตกต่างไปจากเดิม 2 เรื่องคือ คิดหวังดีกับผู้อื่น คิดเรื่องการเผยแพร่วิชาธรรมกายของหลวงปู่วัดปากน้ำให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เพื่อรับบุญข้อการให้ธรรมเป็นทาน ที่พระอาจารย์สอนว่า “การให้ธรรมเป็นทานย่อมชนะการให้ทั้งปวง” และเป็นการตอบแทนพระคุณของหลวงปู่ ที่เกิดมาชาตินี้ได้รู้จักท่าน ได้ปฏิบัติธรรมตามแนวทางที่ท่านสั่งสอนไว้ ใต้ร่มบารมีของหลวงปู่ทำให้ชีวิตของผมร่มเย็นยิ่งนัก
และยังคิดไปว่าควรมีการระดมความคิดเพื่อหาหนทางส่งเสริมวิชาธรรมกายให้ทุกคนในโลกใบนี้ได้เรียนรู้ ให้แต่ละคนหาวิธีการกลับไปเผยแพร่วิชาที่ได้ศึกษาให้แก่คนรอบข้าง เพื่อช่วยกันสร้างสันติสุขให้แก่โลกตามรอยธรรมของหลวงปู่ คุณยายอาจารย์ หลวงพ่อทั้งสององค์
ตอนท้ายๆของการภาวนาในรอบเช้า 11.04 น. จิตเริ่มจับคำภาวนา “สัมมา อรหัง” ได้มากขึ้น ความเมื่อยรบกวนสังขารมากขึ้นเรื่อย ๆ จนรู้สึกได้อย่างชัดเจน ระหว่างการรับประทานอาหารเพล (ก่อนเที่ยง) ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนแนวคิดเรื่องผลการปฏิบัติระหว่างกัลยาณมิตร
จับอารมณ์และความรู้สึกตัวเองได้ว่า มีความรักในการภาวนามากกว่าการพูดคุย แต่ยังอ่อนด้านการทรงอารมณ์ระหว่างอิริยาบถอื่น ๆ เช่นระหว่างการเดิน การรับประทานอาหาร การนอน การพูดคุย คือนึกถึงดวงแก้วแค่ตอนนั่งหลับตาเท่านั้น ตอนลืมตาไม่ค่อยจะนึกถึงดวงแก้ว จึงเป็นจุดอ่อนที่ต้องแก้ไข
เที่ยงวันเศษกลับเข้าสู่ห้องทำวิชาเพื่อเข้ารับการอบรมต่อ ภายหลังชมวีดีโอประวัติหลวงปู่วัดปากน้ำ พระอาจารย์เล่าประวัติของหลวงปู่ต่อเติมจากวิดีโอโดยละเอียด เดิมท่านชื่อสด นามสกุลมีแก้วน้อย เกิดที่สุพรรณบุรี อำเภอสองพี่น้อง ครอบครัวทำการค้าข้าว เมื่ออายุ 19 ปี ระหว่างการล่องเรือค้าข้าว เกิดความคิดว่า การทำมาหากินเลี้ยงชีวิตเป็นเรื่องลำบาก อาจสิ้นชีวิตลงเมื่อได้ก็ได้ จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้ได้บวชเสียก่อน อย่าเพิ่งตาย หากได้บวชแล้วจะบวชไม่สึกอีกเลย เมื่อได้บวชแล้วท่านตั้งใจศึกษาวิชาการทางพระพุทธศาสนาทั้ง 2 วิชา คือ คันถะธุระ และวิปัสสนาธุระแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
ช่วง 10 พรรษาแรกเป็นช่วงเวลาแห่งการค้นคว้าหาความรู้ หลังจากนั้นเป็นช่วงเวลาแห่งการพัฒนาวิชาธรรมกาย พัฒนาวัดปากน้ำภาษีเจริญคู่กันไป จนวัดปากน้ำมีชื่อเสียงขจรขจายกลายเป็นศูนย์กลางแห่งการศึกษาพระศาสนาทั้งภาคปริยัติ และปฏิบัติ เป็นเสาหลักแห่งพระศาสนาจากนั้นเป็นต้นมา
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งที่ธรรมสถาน “สวนบัวรีสอร์ท” มีผู้นับถืออิสลามคนหนึ่งชื่อ กุสุมา มี พื้นฐานจิตใจอันอ่อนโยนต่อกัลยาณมิตรที่เป็นชาวพุทธ เพราะได้อบรมตนมาตามคำสอนของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เมื่อเพื่อนชาวพุทธเชิญชวนให้มาฝึกสมาธิปฏิบัติจึงยินยอมมา แต่ขอปฏิบัติสมาธิอย่างเดียว อย่างอื่นห้ามขอสิ่งใดอีก ถือว่าเป็นการไปพักผ่อน เข้าไปนั่งอยู่หลังห้อง ไม่กราบพระอันผิดต่อหลักคำสอน นั่งภาวนาและกำหนดภาพพระจันทร์เสี้ยว เมื่อใจหยุดนิ่ง เห็นดวงแก้วใสสว่างขึ้นกลางกาย เกิดความสุขอย่างมาก เมื่อหยุดมากเข้า เห็นเป็นองค์พระ ก็นึกว่า “องค์พระไม่เอา” พระก็หายไป เห็นเป็นดวงแก้วกลมใสแทน เมื่อหยุดหนักเข้าก็เห็นเป็นองค์พระอีก ก็ปฏิเสธอีก พระก็หายไป แต่ยังไม่เลิกฝึก เพราะเห็นดวงแก้วแล้วมีความสุข นานเข้าองค์พระซ้อนเต็มตัวเลยทีเดียว
หลังการฝึกสมาธิแล้ว คุณกุสุมาขอพบพระอาจารย์และเล่าประการณ์ภายในให้ท่านฟัง และเรียนถามว่าจะทำอย่างไรดี พระอาจารย์แนะให้ฝึกต่อไป ส่วนเรื่องการนับถือศาสนาอิสลามก็ให้ปฏิบัติต่อไปเหมือนเดิม คุณกุสุมาปฏิบัติตามคำแนะนำพระอาจารย์พร้อมข้อสรุปที่น่าจดจำว่า “ทุกคนมีพระอยู่ในตัว เมื่อใจหยุดแล้วจึงเกิด”
พระอาจารย์สรุปหลักการว่า “เมื่อพราหมณ์ใดยังมีความเพียรเพ่งอยู่ ความสงสัยย่อมหมดไป และคนที่พบแสงสว่างในวันนี้ ล้วนเคยมืดมนมาเหมือนกันหมด” คุณกุสุมาที่ยอมค้นหาความจริงโดย “เอาความเชื่อไว้บนหิ้ง เอาความนิ่งไว้ในใจ” (คำสอนหลวงพ่อพระราชภาวนาวิสุทธิ์) และได้พบความจริงในที่สุด
มีข้อคิดเตือนใจชาวพุทธอยู่ตรงนี้ว่า ชาวมุสลิมทุกคนปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระศาสดาด้วยการทำละหมาดวันละห้าครั้งเสมอ นั่นคือการฝึกสมาธิเป็นพื้นฐานแห่งความสงบของจิต อย่างน้อยวันละไม่น่าจะน้อยกว่าครึ่งชั่วโมง หลายปีผ่านไป เมื่อได้มีโอกาสฝึกสมาธิใจจึงหยุดได้ง่ายกว่าชาวพุทธที่ไม่ค่อยจะสนใจคำสั่งสอนด้านการ “สวดมนต์ภาวนา” จึงทำให้ชาวพุทธขาดหลักใจ ทำตัวเองให้เป็นคนขาดที่พึ่ง หันไปนับถือเทพพรหมองค์อื่นเพราะความไม่รู้ ไม่ทบทวนคำสอนเรื่องศีล เรื่องภาวนา
ล่วงเลยถึงทุกวันนี้ ชาวพุทธต่างหันไปนับถือเทพพรหมองค์อื่นแทนพระรัตนตรัยโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ ไม่ละอายใจว่าได้ละเลยหลงว่า “หลักของชาวพุทธ” คือสิ่งใดกัน เมื่อพระสงฆ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในพระรัตนตรัยเทศน์สอนให้หันกลับมาบูชาพระไตรรัตน์ กลับว่ากล่าวตำหนิพระเสียอีก พระที่ช่วยกันเผยแพร่เทพพรหมแทนพระรัตนตรัยกลับได้รับการนับถือ คำว่า “ลิงได้แก้ว” อาจเป็นคำที่ชาวพุทธส่วนมากนิยมกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น