วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เป้าหมายของชีวิต

เป้าหมายของชีวิต
โสภณ เปียสนิท
........................................

                เช้าตรู่ ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ต้นเดือนเมษายน คนใหญ่ลืมตาตื่นขึ้น แต่งกายชุดขาวทั้งชุด ดุ่มเดินฝ่าสายหมอกจางๆ ออกจากบ้านพักหลักเล็กบ้างใหญ่บ้างเรียงรายบนยอดเขาสูงกว่าน้ำทะเลราว 1100 เมตร สู่อาคารหลังใหญ่ทางทิศเหนือกลางหมู่ไม้ยืนต้นและไม้ประดับหลากหลายพันธุ์ นาน ๆ จึงแว่วเสียงพูดคุยกันเบา ๆ เท่าที่จำเป็น ลมหนาวโชยผ่านผิวเหนือจนต้องกระชับเสื้อคลุมแนบกาย แว่วเสียงสายลมหนาวกระซิบใบไม้กรูเกรียว ดวงจันทร์ขาวนวลแจ่มกระจ่างลอยฟ่องเหนือเงาหมู่บ้านชาวลั๊วะด้านทิศตะวันตก ส่องแสงนวลใยลงสู่หุบเขาเวิ้งว้างด้านทิศตะวันออก ลาดลงเหนือทิวเขา ลาดชันสูงขึ้นสู่สันเขาสงบสลัวในสายหมอกสุดตา

                หมู่คนจำนวน 432 คนทยอยเดินอย่างสงบเข้าสู่อาคารหลังใหญ่แยกย้ายเข้าสู่ที่นั่งของแต่ละคนอย่างสงบนานๆ จึงแว่วเสียงการสนทนาเบา ๆ ผู้ที่เข้าสู่ที่นั่งของตนแล้ว ต่างนั่งในท่าขัดสมาธิ เท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ปลายนิ้วชี้ขวาจรดหัวแม่มือด้านซ้าย วางไว้บนหน้าตัก ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นอยู่กับคำภาวนาว่า สัมมา อรหัง พร้อมกับตรึกนึกถึงองค์พระแก้วใสบ้าง ดวงแก้วกลมใสบ้าง ที่ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ด คือกลางท้อง เหนือสะดือสองนิ้ว (นิ้วชี้กับนิ้วกลางซ้อนกัน)

          พระอาจารย์สอนให้ทำสองอย่างนี้เท่านั้น ไม่ต้องทำอย่างอื่น จิตจดจ่ออยู่เพียงว่า คำภาวนาว่า สัมมา อรหัง ยังอยู่หรือไม่ ภาพดวงแก้วที่นึกอยู่ ยังดำรงอยู่หรือไม่ ทั้งสองอย่างนี้เป็น เหตุ ส่วนผลที่เกิดหลังจากนี้เป็น ผล ตั้งใจมุ่งมั่นทำเหตุให้ดี ต่อเนื่องกันไป ผลอันดีย่อมเกิดขึ้นเอง
                ระหว่างวันที่ 1-7 เมษายน 2550 คนเหล่านี้ ต่างยอมเสียสละเวลาเดินทางจากบ้าน ทั่วทุกภาคของประเทศรวมกลุ่มกันเดินทางสู่สวนพนาวัฒน์ อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ไกลแสนไกลเหมือนสุดปลายฟ้า เพื่อสิ่งใดกันแน่ เพื่อการได้พบปะพูดคุยซึ่งกันและกัน เพื่อได้พักผ่อนในสถานที่อันสวยงามเหมือนสรวงสวรรค์ เพื่อได้รับประทานอาหารอันเลิศรส เพื่อได้ทำสิ่งซึ่งคนรุ่นใหม่บางกลุ่มกำลังนิยมทำกัน?

                ปูมบันทึกของผู้ผ่านการฝึกอบรมคนหนึ่งได้เขียนเรื่องราวไว้อย่างน่าศึกษา อ่านแล้วอาจได้ข้อคิดมุมมองที่ทำให้ตัดสินได้ว่าคนเหล่านี้เขายอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างในช่วงเวลานี้เพื่อสิ่งใด ตามบันทึกนั้นเขียนไว้ดังต่อไปนี้
                หากเปรียบชีวิตเหมือนการเดินทาง ผม (หมายถึงผู้เขียนบันทึก) เดินทางผ่านมายาวไกลเกินกว่าครึ่งทางหลายปี ผ่านการศึกษาในระบบ นอกระบบ ในรั้วโรงเรียนในชนบทห่างไกล ในกำแพงวัดเล็กๆ สู่วัดใหญ่กลางกรุง และมหาวิทยาลัยในต่างแดน ผ่านประสบการณ์ถ่ายทอดความรู้สู่คนรุ่นใหม่สิบสามปี ดูเหมือนว่าปลายทางเบื้องหน้าค่อยๆ เล็กเรียวและสั้นลงสลัวเลือนในสายหมอก

                สิบสามปีแห่งการถ่ายทอดความรู้สู่คนรุ่นใหม่ ผ่านไปพร้อมกับห้าปีแห่งงานบริหารงานแผน ล่วงเลยสู่วันเวลาแห่งการพักผ่อนหย่อนคลายภารกิจบางส่วนลง ผมตัดสินใจหาช่วงเวลาเพื่อ ฝึกฝนตัวเอง ด้วยการนัดหมายกลุ่มคนที่มีความคิดคล้ายคลึงกันเดินทางสู่ สวนพนาวัฒน์ ดินแดนแห่งการฝึกตน เมื่อวันที่ 1-7 เมษายน 2550

          มองย้อนหลังกลับดูชีวิตของตนเอง เส้นทางที่ก้าวเดินมายาวไกล ผ่านประสบการณ์แห่งชีวิตอเนกอนันต์ประการ สิ่งเหล่านั้นค่อยๆ บันทึกลงในปูมแห่งชีวิตเรื่อยมาทั้งด้านบวกและด้านลบ ใจจึงเปรียบเหมือนแผ่นซีดีที่คอยบันทึก ทุกสิ่งที่ทำ ทุกคำที่พูด ทุกอย่างที่คิด ไว้อย่างต่อเนื่อง บันทึกสิ่งใดไว้มาก ย่อมเคยชินกับสิ่งนั้น
                คิดพูดทำของผม (ผู้บันทึก) แม้จะมีสิ่งไม่ดีอยู่มาก แต่ยัง (อุตส่าห์) มีสิ่งดีอยู่บ้าง คือมีโอกาสศึกษาหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างต่อเนื่องทีละน้อย โดยมีพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำเป็นต้นบุญต้นแบบให้ปฏิบัติตาม มีคณะของคุณยายอาจารย์เป็นผู้นำมาถ่ายทอดอีกต่อหนึ่ง

                ผมซึมซับหลักการพัฒนาชีวิตว่า ต้องพัฒนาสองด้าน 1. พัฒนาจิตใจ 2. ต้องพัฒนากาย จิตเป็นศูนย์รวมของ คิดพูดทำ ทุกประการ จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับการพัฒนาเป็นด้านหลัก เหมือนเป็นศูนย์ควบคุมความคิด ควบคุมคำพูด ควบคุมการกระทำทุกอย่าง ส่วนกายเป็นเหมือนเครื่องยนต์ (สรีระยนต์) ที่ทำงานตามที่ตัวควบคุมสั่งการ

                ร่างกายต้องพัฒนาให้แข็งแรงด้วยการออกกำลังกายเสมอ บำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยวันละ20-30 นาที ระหว่างการออกกำลังกายอย่าให้เวลาศูนย์เปล่า ด้วยพัฒนาจิตพร้อมกันไป ด้วยการสวดมนต์หรือภาวนาบทใดบทหนึ่งเพื่อฝึกใจให้เป็นสมาธิ เพิ่มพลังความจำความคิด
                เมื่อปี 2518 ได้อ่านหนังสือ เดินไปสู่ความสุข มีความซาบซึ้งใจ และอนุโมทนาบุญกับกลุ่มศิษย์หลวงปู่ ซึ่งมีลูกศิษย์องค์สำคัญคือคุณยายอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง เป็นแกนนำสั่งสอนกลุ่มหลานศิษย์ มีพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย หลวงพ่อทัตตชีโว พร้อมด้วยสาธุชนกลุ่มใหญ่เป็นผู้ก้าวตามหลวงปู่วัดปากน้ำอย่างมุ่งมั่น

                หลายปีที่ผ่านมา ผมดำรงชีวิตเหมือนปุถุชนทั่วไป ปล่อยให้คิดพูดทำเคยชินกับประสบการณ์ทางลบไปมากมายนับไม่ถ้วน โชคดีที่ยังคิดพูดทำด้านบวกอยู่นิดหน่อย คือ นานๆ ครั้งได้อ่านหนังสือธรรมะ นานๆ ครั้งที่ได้สวดมนต์ นานๆ ครั้งได้นั่งสมาธิ เผลอนิดเดียวเวลาเหมือนติดปีกบินผ่านไป 32 ปี

                เป็น 32 ปี แห่งการปล่อยชีวิต คิดพูดทำ สั่งสมความเคยชินกับด้านลบมากมายกองใหญ่เท่าภูเขา สิ่งใดทำบ่อยมาก ก็จับตัวกันแน่นแข็งเหมือนก้อนหินแกรนิต ยากต่อการกำจัด ทำน้อยลงหน่อย แข็งเหมือนหินทราย ยากต่อการขจัดรองลงมา บางอย่างทำผิดไปหน่อยเดียว ก็แข็งเหมือนก้อนดิน ยังง่ายต่อการเคาะ กะเทาะ ขูดล้างออกไป

                ความเคยชินด้านลบที่ผมคิดพูดทำไปแล้วจนเกิดความเคยชิน ส่งผลร้ายให้จิตใจของผมขุ่นมั่ว และแน่นอนว่าเมื่อจิตขุ่นมั่วย่อมส่งผลกระทบต่อไปยังร่างกายของผมที่กำลังค่อยๆ เสื่อมโทรมลงไปทีละน้อย เหมือนเป็นตัวเร่งให้เสื่อมเร็วขึ้น ค่อยๆ จดจ่อจับจ้องมองดูจึงเห็นชัด
                ผมเคยชินกับความโลภ อยากได้ทรัพย์สิน สมบัติ สวยงาม หรูหรา ดีเด่น สูงสุดเพื่อสนองอารมณ์ที่เกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ผมอยากเป็นคนหล่อคนนั้น อยากเป็นคนสวยคนนี้ อยากเป็นสิ่งนั้น อยากเป็นสิ่งนี้ และ ผมไม่อยากให้สิ่งดีๆ ในชีวิตของผมสูญสิ้น เสียหายไป

          ผมเคยชินกับความโกรธทั้ง 3 ระดับ ระดับขุ่น ๆ ชนิด ฉันไม่โกรธแก แต่ฉันไม่พูดคุยกับแก เมื่อสะสมระดับขุ่นๆ มากเข้า จึงเลื่อนไปสู่ระดับ2 คือระดับโทสะ แสดงออกให้เห็นชัดทางคิดพูดทำ เมื่อชินกับโทสะมากเข้าจึงพัฒนาไปสู่ระดับ3 คือ พยาบาทมุ่งร้ายหมายแค้นคุกรุ่นเหมือนถูกเผารนอยู่กลางเปลวไฟ

                ผมเคยชินกับ ความไม่รู้ (อวิชา) หรือความรู้ที่ผิด ยิ่งเรียนรู้มากขึ้นเท่าใดก็ยิ่งรู้ว่ายังมีสิ่งที่เราไม่รู้อีกมากมาย ผมยังไม่รู้และไม่เข้าถึงว่า พระรัตนตรัยมีคุณอย่างไร การทำทาน ให้ผลอย่างไร การรักษาศีลให้ผลอย่างไร การสวดมนต์ ทำสมาธิภาวนาให้ผลดีหรือไม่ดีอย่างไร

                เหตุที่ผลเคยชินกับสิ่งเหล่านี้ เป็นผลกรรม คือการสั่งสมของผมเอง และที่นำมาเขียนให้อ่านกันนี้เป็นการยกตัวอย่างให้เห็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะว่าโดยแท้จริงแล้ว ความคุ้นชินในด้านลบของผมเองยังมีอีกมากมายที่ซุกแทรกหลบซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของใจของผม แต่จิตของผมยังขุ่นเกินไป ขุ่นเหมือนน้ำในตุ่ม ทำให้ผมมองไม่เห็นว่า ก้นตุ่มมีสิ่งใดนอนเนื่องอยู่บ้าง
         
                

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น