วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2554


มีบุญวาสนามาก่อน

เราสองคนเดินทอดน่อง จูงจักรยานคู่ชีพกลับเข้าเมืองหัวหินเรื่อยๆ

มีบุญวาสนามาก่อน

โสภณ เปียสนิท

...........................


    

                           เราสองคนเดินทอดน่อง จูงจักรยานคู่ชีพกลับเข้าเมืองหัวหินเรื่อยๆ แสงไฟจากดวงไฟบนเสาส่องสว่างเรืองรองริมถนน ชีวิตที่ไม่เร่งร้อนก็ดีอย่างนี้ ปล่อยวางทุกอย่าง รับรู้สิ่งรอบตัวด้วยประสาทสัมผัสอย่างที่มันเป็นโดยไม่เอาอารมณ์และความรู้สึกปรุงแต่งเข้าไปเกี่ยวข้อง ความมืดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นไปตามปกติที่เคยเป็น  แสงไฟบนเสาส่องสีนวลให้แก่ผู้ผ่านทางทุกคน สายลมเย็นโชยแผ่วเบายังคงโรยรินเหมือนวันก่อน ถนนราดยางสายเก่าทอดเงาดำยาวไกลคลายความร้อนอวลอุ่นขึ้นสู่บรรยากาศ ฝูงวัวเดินตัดถนนกลับคอก และเล็มหญ้าแห้งริมทางเหมือนเสียดายและยังไม่อิ่มพอ


                           คุณกลับบ้านบ้างหรือเปล่า? ผมทำลายความเงียบขึ้นกลางความสลัวราง นานๆ ครั้ง ไปเยี่ยมแม่ เยี่ยมญาติ เธอตอบโดยไม่มองหน้า ทอดตามองแมลงหลายตัวบินเล่นแสงไฟอยู่เบื้องหน้าไกลๆ ไม่คิดถึงบ้านหรือ? ผมต่อความยาวสาวความยืดด้วยการชวนคุยไปเรื่อย เธอหันมองหน้าแล้วกล่าว เมื่อก่อนไม่ค่อยได้คิดเท่าไร พักหลังๆ เริ่มคิดถึงมากขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร มันเป็นของมันเอง


                          ทำไมจึงชอบการเดินทาง ผมเปลี่ยนเรื่องเริ่มประเด็นใหม่ ทั้งที่รู้ว่าการรุกล้ำเข้าสู่ชีวิตส่วนตัวของเธอมากยิ่งขึ้น อาจทำให้เธอไม่พอใจก็เป็นได้ มีความรู้สึกบางอย่างผลักดันให้ผมอยากรู้จักเธอมากยิ่งขึ้น ไม่รู้สิ บุปเพกตบุญญตา มั้ง เธอว่าคำพระจนผมเริ่มงง เป็นบุญกรรมที่เคยทำมาก่อน โล่งใจที่เธอบอกความหมายให้ ก่อนที่ผมจะต้องแสดงความไม่รู้ด้วยการตั้งคำถาม จึงเริ่มคำถามใหม่ คุณเชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ? ซึ่งเป็นคำถามยาก เธอตอบโดยไม่ลังเล เชื่อสิ มันมีเหตุผลอันควรเชื่อนะคุณ


                        ทำไมถึงเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด พูดให้ฟังหน่อย ผมถามเพราะต้องการเรียนรู้ หรืออาจเป็นเพราะอยากฟังเธอคุยก็เป็นได้ ขอถามคุณก่อนก็แล้วกันนะ คุณเชื่อไหมว่าเมื่อวานมันมีอยู่ เธอหันมาถามผมบ้าง มีสิครับ เพราะผมจำได้ว่า ไปนั่งนอนเล่นที่สวนสนหลบร้อน ฟังเสียงลมลู่ใบสน มองแผ่นน้ำทะเลสุดขอบฟ้า ระลอกคลื่นสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเย็นเป็นประกายวิบวับเชียว ยังติดตาอยู่เลย  เธอกล่าวต่อ แสดงว่าคุณเชื่อว่ามีวันวานนี้แน่นอน เชื่อว่ามีแน่นอน เพราะเหตุใด เพราะผมยังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ อ๋อ...ถ้าจำได้แล้วเชื่อว่ามี ถ้าจำไม่ได้ไม่เชื่อว่ามีหรือ? เธอถามจนผมเริ่มงง ถ้าอย่างนั้นขอถามใหม่ว่า จำได้ไหมว่าเมื่อวันวานกินข้าวกี่คำ? กระพริบตากี่ครั้ง? มองเห็นสิ่งใดบ้าง? ผมงงหนักขึ้น เชื่อหรือไม่ว่า เหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นแล้วเมื่อวันวาน? เชื่อว่าเกิดขึ้นแล้ว แสดงว่า แม้จำไม่ได้ก็แสดงว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นหรือ? ผมตอบคำถามของเธอไม่ค่อยได้เท่าไรเมื่อวานมี อาทิตย์ที่แล้ว เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว และแม้ชาติที่แล้วก็น่าจะมีเช่นกันมิใช่หรือ? เธอสรุปคำถามด้วยกฎของความน่าจะเป็น จนผมหมดปัญญาโต้ตอบ


                           เราเดินกันถึงร้านอาหารเล็กๆ ใกล้ริมทางรถไฟมีคนไทยและชาวต่างชาตินั่งรับประทานอาหารเกือบเต็มทุกโต๊ะ บ่งบอกถึงคุณภาพของร้าน ผมถือโอกาสเปลี่ยนเรื่องสนทนา พักสมองเพราะดูเหมือนว่าเธอมีเหตุผลเหนือกว่าทุกประตู ทานข้าวร้านนี้นะ เธอพยักหน้าแทนคำตอบ พร้อมหามุมจอดรถจักรยาน เดินเข้าร้านมองหาที่นั่ง ชายร่างเตี้ยตัดผมสั้นเกรียนใส่กางเกงขาสั้นเดินเข้ามาหา รอสักครู่นะครับ กี่คนครับ พนักงานสอบถามพร้อมคำเชิญ สองคนครับ ผมตอบ ระหว่างการยืนรอผมหันไปคุยกับเธอฆ่าเวลา ที่คุณว่ามาก็มีเหตุผลนะครับ แต่ยังมีเหตุผลอื่นอีกหรือไม่ เธอยิ้มน่ารัก เสมองความวุ่นวายบนถนนเลียบทางรถไฟแคบๆ ยังมีอีกอย่างน้อยก็ 4 เหตุผลคะ โอโฮ เธอช่างเป็นคนมีเหตุผลเสียจริง ผมนึกในใจ คนที่เชื่อชาตินี้ชาติหน้ามีโอกาสทำความดีมากกว่าคนที่ไม่เชื่อ” ผมพยักหน้ารับเห็นด้วย คนที่ไม่เชื่อว่ามีชาติหน้า มักทำความไม่ดีมากกว่าความดี เพราะไม่รู้ว่าทำความดีไปเพื่ออะไรนี่ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ควรเชื่อว่ามีชาติหน้าไว้ก่อน ป้องกันความผิดพลาด ถ้าคุณเป็นคนฉลาด


                   “บางคนเกิดมาแล้วระลึกชาติได้มีอยู่จำนวนมาก ฉันเคยอ่านพบมากมาย ถ้าคุณสนใจก็ลองหาหนังสืออ่านดู เช่น เรื่อง ก่อนเกิดหลังตาย รวบรวมโดย ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา และ 25 ผู้ระลึกชาติ จำชื่อคนเขียนไม่ได้แล้ว ผมทึ่งในความเป็นนักอ่านของเธอ และชักนึกอยากอ่านหนังสือ อยากเป็นคนมีความรู้เหมือนเธอ นึกเสียดายช่วงเวลาที่ผ่านเลย ใช้เวลาทำเรื่องไร้สาระไปมากมาย


                  พนักงานคนเดิมจัดโต๊ะหลังลูกค้าคนก่อนจ่ายเงินแล้วออกจากร้านไปเสร็จเรียบร้อย ผมชวนเธอนั่ง แล้วสั่งอาหารสองอย่าง ก่อนมอบหน้าที่ให้เธอสั่งเพิ่มอีกสองอย่าง เพราะยังไม่รู้ว่าเธอมีรสนิยมอย่างไร เธอผัดผักรวมมิตรและปลาสำลีแดดเดียว แล้วขยับโต๊ะให้เข้าที่ และกล่าวต่อ วิธีพิสูจน์ชาตินี้ชาติหน้ามีอยู่ ยังไม่ทันได้ฝึกก็ไม่เชื่อแล้ว ไม่ใช่วิสัยของบัณฑิต” คำพูดของเธอเหมือนเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก เพราะผมไม่เคยรู้ พิสูจน์อย่างไรครับ ผมถามโดยไม่ได้คิด พระสอนไว้ 3 ขั้น ให้ทำอย่างจริงจัง ของจริงคู่กับคนจริง ทำจริงได้ผลจริง เธอยืนยันคำสอนพระอย่างมั่นใจ ฝึกการให้ทานไว้เสมอจนติดเป็นนิสัย ฝึกรักษาศีลจนเป็นปกติ อย่างน้อย 5 ข้อ ฝึกทำสมาธิภาวนาอย่างต่อเนื่อง ไม่นานก็เห็นผล จริงอย่างเธอว่า คนทั่วไปก็เหมือนผม คือไม่ค่อยได้ศึกษา ไม่ได้ทำตาม หรือทำก็นิดๆ หน่อยๆ จึงไม่เห็นผล แล้วก็ไม่เชื่อ


                       อาหารเริ่มทยอยมาวางบนโต๊ะ ผมตักปลาสำลีใส่จานเธอเป็นการตอบแทนคุณที่เธอคุยหลักธรรมดำเนินชีวิตให้ผมฟัง เธอยิ้มพึมพำขอบคุณ แล้วกล่าวต่อไป เราเป็นชาวพุทธ พระสอนให้เชื่อกฎแห่งกรรม และการเวียนว่ายตายเกิด แล้วทำไมไม่เชื่อท่าน” ก็นั้นนะซิ ผมชักคล้อยตาม ก็เป็นชาวพุทธมาตั้งแต่เกิดเหมือนคนอื่น แต่กลับคัดค้านแนวพุทธเสียดื้อๆ เธอเห็นผมนิ่งคิด จึงกล่าวต่อ แต่พระท่านก็บอกว่า คำสอนในพระศาสนานั้นไม่ต้องด่วนเชื่อ แต่จงมาพิสูจน์ ชาวพุทธส่วนมากไม่สนใจที่จะพิสูจน์แต่กล้าบอกว่าไม่เชื่อ เห็นเธอหยุดพูดและตักอาหาร ยากไหม ถ้าผมต้องการจะพิสูจน์บ้าง เธอตอบทันทีด้วยสำนวนเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก ให้ทานทุกวันเพื่อกำจัดความตระหนี่ รักษาศีลทุกวันเพื่อการไม่เบียดเบียน เจริญภาวนาทุกวันเพื่อรักษาจิตให้สงบ ทำอย่างต่อเนื่อง แล้วจะเห็นผลด้วยตนเอง ผมก็นึกว่ามันไม่น่าจะยากนะ ถ้าต้องการจะทำ


                   ปล่อยชีวิตไปตามสบาย โดยไม่ต้องพิสูจน์อะไรไม่ดีกว่าหรือ ผมตั้งคำถามแบบลองใจ ปลาเป็นว่ายทวนน้ำ ปลาตายลอยตามน้ำ คุณอยากเหมือนปลาเป็น ต้องว่ายทวนกระแสกิเลส จริงไหม? เธอช้อนสายตามองหน้าผมขณะมือตักอาหาร การมีชีวิตอยู่ให้ต่างจากสัตว์อื่นคือต้องสร้างบุญ ให้สมกับการเกิดเป็นคนเหตุใดบางคนเกิดมาจน บางคนเกิดมารวย บางคนหล่อสวย บางคนขี้เหร่ ขี้โรค เธอยิ้มเหมือนเข้าทาง พระสอนว่า กรรมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม เธอกล่าวต่อไปด้วยสีหน้าเข้ม กรรมติดตามเราเหมือนล้อเกวียนตามรอยเท้าโค ผมถามข้อสงสัย หากไปเกิดชาติหน้ากรรมตามผมไปอย่างไร ใจของคุณเป็นเหมือนหน่วยความจำของเครื่องคอมพิวเตอร์ บันทึกสิ่งใดไว้ได้สิ่งนั้น ข้ามภพข้ามชาติเชียว


                      ชาติหน้าผมไม่อยากจน อยากมีร่างกายแข็งแรงผิวพรรณผ่องใสไม่ขี้โรค เรียนหนังสือเก่งมีความจำดี ต้องทำอย่างไร ผมถามเล่นๆ แต่เธอตอบจริงว่าทำทานทำให้รวย รักษาศีลทำให้สวยแข็งแรงผ่องใส ภาวนาสมาธิทำให้ความจำดีเรียนเก่ง อย่างนี้แสดงว่า เราเลือกเกิดได้นะซิ เธอตอบอย่างเชื่อมั่น ใช่แล้ว ทำอย่างนี้แล้วเมื่อเกิดในชาติหน้าชื่อว่า มีบุญวาสนามาก่อน


                        ผมเงียบใช้ความคิดอย่างหนัก ว่าจะวางแผนชีวิตในวันข้างหน้าอย่างไร ผู้หญิงคนนี้เป็นกัลยาณมิตรชี้นำแนวทางการดำเนินชีวิตอันลึกซึ้งให้แก่เราได้อย่างดี ตลอดชีวิตแห่งการเดินทางไม่เคยมีใครทำให้ผมคิดถึงเรื่องเหล่านี้ หันมองรอบร้านอาหารเหลือลูกค้าสองโต๊ะ พนักงานสองสามคนกำลังเก็บร้าน ถนนเริ่มร้างยวดยาน ผมขอโอกาสจ่ายค่าอาหารแล้วชวนกันออกจากร้าน เธอขอตัวแยกกลับที่พัก ผมมองตามส่งเธอด้วยสายตาวาบหวิวโหยหาอาลัยเหมือนหนึ่งว่าเคยทำบุญร่วมกันมาแต่ปางก่อน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น