วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

คืนแรกที่พนาวัฒน์

คืนแรกที่พนาวัฒน์
โสภณ เปียสนิท
........................................

 โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ช่วยเผยแพร่ความรู้ด้านพระพุทธศาสนาได้ทั่วโลก ดูจากที่มีผู้ส่งผลการปฏิบัติธรรมถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชภาวนาวิสุทธิ์หลายประเทศ และศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อช่วยกันเผยแพร่ติดจานดาวธรรมไปเรื่อยๆ นับเป็นบุญของชาวโลกที่ยังขาดความรู้หลักการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์แห่งการเกิดเป็นคน และได้พบพระพุทธศาสนา ใครกันที่เผยแพร่พระศาสนาได้มากขนาดนี้
เปิดปูมบันทึกฉบับนั้น มีบันทึกคำสอนพระอาจารย์ก่อนเข้านอนหลายประการ เช่น สอนให้รู้ว่า เราคือกัลยาณมิตรมีหน้าที่ต้องพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าไปเรื่อย เรามีเป้าหมายอันสูงส่ง แม้มีอุปสรรคเราต้องอดทน ต้องรักษาศีล เราต้องพลัดพรากจากของรักของชอบ เรามีกรรมเป็นของตัว วันคืนล่วงไปเราทำอะไรอยู่ และคุณวิเศษของเรามีอยู่เพียงพอหรือไม่ เป็นต้น
พระสอนว่า คนในโลกนี้ดำรงอยู่ท่ามกลางความทุกข์นานา บางอย่างก็ทุกข์ประจำสังขาร บางอย่างก็ทุกข์ทางใจ ทุกข์บางอย่างแก้ไขได้ บางอย่างแก้ไขไม่ได้ แต่อาจแก้ได้ด้วยการกำหนดรู้ เช่น เมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นโรคร้าย ซึ่งเป็นทุกข์ทางกาย จึงเก็บมาคิดจนเครียดหนักขึ้น ซึ่งเป็นทุกข์ทางใจ เรียกว่าเพิ่มทุกข์ให้ตัวเองอีกขั้นหนึ่ง เปิดโอกาสให้โรคร้ายลุกลามหนักขึ้นได้ง่ายๆ โดยไม่จำเป็น
เปรียบเหมือนคนถือก้อนเหล็กร้อนวิ่งวุ่นไปทั่ว แล้วร้องไปเรื่อยว่า ร้อนจริง ๆ คนที่มีตาดีเห็นเข้าจึงบอกว่า ก็โยนทิ้งซิๆๆ แต่เขาไม่โยนทิ้ง เอาแต่ร้องเหมือนเดิม พระบอกวิธีแก้ง่ายๆ คือ ให้วางก้อนเหล็กร้อนนั้นลง คำตอบคือ ผมวางไม่ได้
ทุกข์กายก็เป็นเหล็กร้อนก้อนหนึ่ง ทุกข์ใจก็เป็นเหล็กร้อนอีกก้อนหนึ่ง คำถามคือว่า เหตุใดบุรุษนั้นจึงวางเหล็กร้อนไม่ได้ คำตอบคือ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่เคยฝึกวางทุกข์เหล่านั้นเลย แปลกแต่จริงที่ว่า คนเราเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวมากมาย บางคนจบปริญญาตรี โท เอก แต่ทุกข์กายและใจกลับไม่ได้เรียนรู้ เมื่อเกิดทุกข์ขึ้นจึงหาทางแก้ไขไม่ได้
คืนแรก วันที่ 2 เมษายน 2550 ผมเอนกายลงนอนเวลา 22.00 น. บนชั้นสองของอาคารพักเทพบุตร นึกถึงคำสอนของพระอาจารย์ จึงพยายามจรดใจไว้ที่ศูนย์กลางกาย ตามหลักวิชาแห่งการปฏิบัติ อีกด้านหนึ่งน้อมใจสวดมนต์มงคลสูตรและชินบัญชรจนหลับไปโดยเวลาอันไม่นาน
เช้าวันที่ 3 เมษายน 2550 ตื่นขึ้นรับลมหนาวแต่เช้าตรู่ หยิบนาฬิกาขึ้นดูบอกว่าเป็นเวลาเวลา 4.27 น. ทบทวนเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา มีเสียงกรนประสานกันจากตรงนั้นตรงนี้ ดังบ้าง เบาบ้างสลับกันเหมือนมีใครยกซิมโฟนีวงเล็กๆ มาบรรเลงในยามค่ำคืนอันเงียบสงบ เพียงเท่านี้อาจไม่เป็นอุปสรรคต่อการก้าวสู่นิทรารมณ์ของผู้ที่ชอบดนตรีคลาสสิค มีเสียงละเมอสลับขึ้นมาแทรกเป็นบางครา ซึ่งเหมือนกับนำวงโอเปร่าบางส่วนมาร้องสอดรับเพื่อเพิ่มความบันเทิง
ก่อนเวลา 5.00 น. เสร็จภารกิจส่วนตัว ผมประคองใจจรดไว้ที่ศูนย์กลางกายเดินฝ่าความหนาว เห็นเพื่อนร่วมทางบุญใส่ชุดขาว ออกจากบ้านหลายหลังทยอยสู่ห้องค้นคว้าวิชาด้วยความระมัดระวังมิให้เกิดเสียงรบกวนผู้มาก่อน และเริ่มนั่งสมาธิล่วงหน้าไปก่อนแล้ว เมื่อพร้อมกันแล้ว พระอาจารย์นำสวดมนต์ทำวัตรเช้า ต่อด้วยการทำสมาธิ และฟังธรรมบรรยายเป็นรายการสุดท้ายของรอบเช้ามืด
สำหรับการนั่งสมาธิรอบนี้รู้สึกว่าเป็นช่วงที่ดีที่สุดของผม จิตจับภาพดวงแก้วที่ศูนย์กลางกายได้มากและนานกว่าครั้งก่อนๆ คำภาวนาว่า สัมมา อรหัง ดำรงอยู่ต่อเนื่องยาวนานกว่าครั้งก่อนๆ จนรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วกว่าปกติ รับรู้ถึงความสุขแบบเงียบๆ ที่ค่อยๆ เข้าใกล้จิตใจของตน
ช่วงเวลา 6.30 น. วิทยากรวิทยา ทองแดง ยืนเด่นบนเวทีเล็กๆ นำกิจกรรมออกกำลังกายบนลานกว้าง อย่างสนุกสนาน ระหว่างที่ดวงอาทิตย์สีแดงกลมโตค่อยๆ ไต่ขึ้นสู่ขอบฟ้าด้านทิศตะวันออก กัลยาณมิตรทุกคน นับจากอายุน้อยสุด 15 ปี จนถึงอาวุโสสูงสุด 84 ปี เข้าร่วมกิจกรรมออกกำลังกายง่ายๆ เช่น สะบัดแขนขา นวดแขนนวดตัวให้กันและกัน บิดตัวยืดเส้นสาย พร้อมทั้งทำความรู้จักกันไปด้วย
ราว 7.15 น. กลุ่มกัลยาณมิตรต่างพากันเข้าโรงอาหารหลังใหญ่ สะอาดสะอ้าน อาหาร ขนมหวาน น้ำดื่ม เครื่องดื่ม น้ำชา กาแฟ ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แยกหมวดหมู่เพื่อให้ง่ายต่อการเรียงแถวรับอาหารเครื่องดื่ม ที่จัดเก็บภาชนะหลังการใช้งาน ที่ล้างแก้ว ถ้วยชากาแฟเตรียมพร้อมรอให้กัลยาณมิตรช่วยกันล้าง ช่วยกันเก็บหลังเสร็จกิจการใช้สอย
กัลยาณมิตร สมคิด จากกุยบุรีเห็นว่ามีผู้มาใหม่หลายคน จึงชักชวนกันเดินชมบริเวณสวนพนาวัฒน์อันกว้างใหญ่ จากที่พักชายใกล้โรงอาหารผ่านไปชมสระน้ำใหญ่ใกล้แนวเขตติดต่อกับหมู่บ้านชาวลั๊วะ ปลาหลากหลายชนิดว่ายวนเวียนเข้าใกล้เมื่อเราแวะเยี่ยม ปลาคาร์พขนาดใหญ่สีสวยหลายตัวว่ายเรียงตามกันมาทักทายและกล่าวคำต้อนรับ
ระหว่างการชมความงดงามของหมู่ปลานานาชนิด เสียงใครคนหนึ่งพูดขึ้นว่า ไม่น่าเชื่อนะว่า ปลาดุกเป็นตัวผู้ทุกตัว ทุกคนเงียบงันเพราะความงง ใครคนหนึ่งรีบถามเพื่อแก้ข้อสงสัย รู้ได้อย่างไรว่าเป็นตัวผู้ทุกตัว อ้าว...ไม่สังเกตหรือว่า มีหนวดทุกตัว ผมเห็นชัด มีเสียงฮาครืนเบาๆ อย่างสำรวม เสียงแว่วๆ มาจากข้างหลังว่า พรุ่งนี้จะเอามีดโกนมาโยนลงสระน้ำ เพื่อนสงสัยถามเร็วว่า ทำไม? ผู้ตอบหน้าเรียบเฉย ให้ปลาดุกได้โกนหนวดเสียบ้าง อีกคนลุกขึ้นชวน ไปกลับกันดีกว่า
ระหว่างการเดินทางกลับรับรู้ประวัติเก่าๆ ว่า เมื่อแรกก่อตั้งสวนพนาวัฒน์ เมื่อยังไม่มีหลักเขตที่ชัดเจน ชาวลั๊วะเพื่อนข้างบ้านได้รุกเข้าสู่พื้นที่ของวัด เพราะความไม่รู้ เมื่อตอนก่อสร้างรั้วก็เกิดปัญหา พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยปรารภลอยๆ ว่า หากเทวดาตนใดอยากได้บุญขอให้ช่วยทางวัดในครั้งนี้ด้วย เช้าวันต่อมาชาวลั๊วะกลับใจแจ้งเจตนารมณ์คืนที่ดินให้แก่วัดโดยง่าย อย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อเข้ามาเป็นคนงานของวัด ยังให้ความร่วมมือพากันสวดมนต์ทำวัตรก่อนการทำงานในแต่ละวัน
รอบเช้าวันที่สอง เริ่มขึ้นราว 8.30 น. พระอาจารย์เล่าเรื่องเบื้องหลังความตายไว้อย่างน่าสนใจว่า คนเราตายแล้วไม่สูญ เช่นเมื่อครั้งที่คณะพระเดชพระคุณหลวงพ่อนำศิษย์ไปปฏิบัติธรรมที่ดอยสุเทพ หลายรูปมีประสบการณ์พิเศษ เมื่อครั้งที่ย่อหย่อนต่อการปฏิบัติธรรมมักพบร่างลึกลับมาปรากฏให้เห็นจนต้องปฏิบัติธรรมกันด้วยความขยันขันแข็ง
อีกเรื่อง เมื่อครั้งอดีต พระราชาพระองค์หนึ่งชื่อ ปายาสิ แห่งเสตัพพะยะนคร พระองค์เป็นนักทดลองเรื่องวิญญาณได้พบพระกุมารกัสปะจึงได้สอบถามปัญหาที่สงสัยมานานว่า
ข้าพเจ้า เคยสั่งนักโทษประหารว่า ตายแล้ว ถ้าไปเจอนรกขอให้กลับมาบอกด้วย ทุกคนก็รับปาก แต่ไม่เห็นมีใครกลับมาบอกสักคน พระกุมารกัสสัปปะตอบว่า ท่านปายาสิ ถ้าทหารของท่านจับนักโทษได้ผู้หนึ่ง กำลังจะพาตัวไปลงโทษ ถ้านักโทษผู้นั้นบอกทหารของท่านว่า จะขอกลับไปบอกญาติๆ ก่อน ท่านจะให้ทหารปล่อยตัวเขาไปบอกญาติๆก่อนหรือไม่ พระเจ้าปายาสิตอบว่า ย่อมปล่อยตัวไม่ได้หรอก พระตอบว่า อย่างนั้นแหละท่าน สัตว์นรกทั้งหลายก็กำลังถูกลงโทษอยู่ ย่อมไม่ได้รับการปล่อยตัวให้มาบอกใครได้
อีกครั้งหนึ่งพระองค์ทดลองโดยสั่งคนที่ทำดีมาตลอดชีวิตที่ใกล้หมดอายุ บอกว่า ตายแล้วถ้าเห็นสวรรค์ขอให้มาบอกด้วย แต่ไม่เห็นมีใครมาบอกเลย พระแก้ว่า ถ้าท่านตกอยู่ในหลุมอุจจาระที่ทั้งเปื้อน ทั้งเหม็น แล้วมีใครช่วยท่านขึ้นมาจากหลุม และอาบน้ำให้ท่านเสียใหม่อย่างดี ถ้าเขาขอร้องให้ท่านลงไปในหลุมอุจจาระอีกครั้ง ท่านยินดีลงไปหรือไม่ พระเจ้าปายาสิจึงยอมรับว่าไม่ยินดี ชาวสวรรค์เหม็นมนุษย์ขนาดนี้เลยหรือนี่
เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป โปรดติดตามตอนหน้าครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น