วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ศึกษาธรรม


ศึกษาธรรม
โสภณ เปียสนิท
........................................

แม้มืดตื้อมืดมิดก็มีสิทธิ์เข้าถึงธรรม บทลงท้ายเมื่อตอนก่อนยังคงดังก้องกังวานในใจของผมตลอดมา เป็นคำคมที่สูงค่าที่หลวงพ่อกล่าวไว้ให้กำลังใจแก่ศิษย์ทุกคน ความผิดพลาดที่ผ่านมาลืมไปให้หมด ความดีแม้เล็กน้อยก็ต้องเร่งทำ ไม่ว่าทานการเสียสละ ศีลการสำรวจกาย วาจา ใจ ภาวนาการสวดมนต์สมาธิวิปัสสนา

                เปิดปูมบันทึกคำสอนของพระอาจารย์ พบคำสอนอันน่าคิด สังขารนี้เหมือนเรือนถูกไฟไหม้ เพราะก้าวไปสู่ความตายอยู่ทุกขณะ ไม่ว่าเราจะบำรุงเลี้ยงด้วยอาหารอย่างดี สวมใส่ด้วยเสื้อผ้าเนื้อดี หาหยูกยาบำรุงรักษาด้วยหมอที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ อยู่ในที่อยู่อาศัยอย่างสบาย ร่างกายนี้ยังคงไปสู่ความแตกสลาย

                คนมีปัญญาดีเมื่อเห็นเรือนไฟไหม้ย่อมขนของออกจากเรือนหนีไฟ ด้วยการสร้างบารมี คือการทำทานรักษาศีลเจริญภาวนาอย่างต่อเนื่อง การทำทานทำให้มีทรัพย์ การรักษาศีลทำให้มีร่างกายแข็งแรง การเจริญภาวนาทำให้เป็นผู้มีปัญญาดี ทำดังนี้จึงถือว่า ขนของหนีไฟได้แล้วยิ่งทำมากยิ่งขนไปได้มาก

                11.30 น. เดินเข้าแถวตักอาหารมื้อสุดท้ายของวันด้วยการสำรวมใจไว้ที่ศูนย์กลางกาย ดูเหมือนว่าจิตจะไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ยอมอยู่ที่ศูนย์กลางกาย มักท่องเที่ยวไปในอนาคตบ้าง มักท่องเที่ยวไปในอดีตบ้าง ดิ้นรนเหมือนปลาที่ถูกปล่อยไว้บนบก เหมือนว่าใจเป็นสมรภูมิแห่งการต่อสู้ ขณะที่ความคุ้นเคยเดิมๆ พาใจท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ ขณะที่คำสอนตามหลัก วิชชาธรรมกาย ให้ประคองใจไว้ที่ศูนย์กลางกาย นิ่งๆ ว่างๆ

                เที่ยงเศษระหว่างเดินทางสู่โรงค้นวิชา คิดว่า การนั่งกำหนดดวงแก้วกลมใสไว้ที่ศูนย์กลางกายในห้องตามปกตินั้นค่อนข้างจะตึงเครียด ควรกำหนดศูนย์กลางกายระหว่างลืมตาบ้างเพื่อแก้ความเครียด จึงนั่งลงใต้ต้นไม้ระหว่างทางในมุมเงียบๆ การประคองใจไว้ที่ศูนย์กลางกายทำได้ง่ายกว่าหลับตา เบากว่า สบายกว่า แต่ใจมักเผลอง่าย เพราะตาเห็นภาพ

                ถึงเวลาเข้าโรงค้นวิชา พี่เลี้ยงเล่าเรื่อง ความไม่แน่นอน อาจเกิดขึ้นได้อย่างง่ายๆ สิ่งที่ดีที่สุดอาจเลวร้ายที่สุด สิ่งเลวร้ายที่สุด อาจดีที่สุดก็ได้ เรื่องมีอยู่ว่า

                ระหว่างเดินทางเรืออันยาวนาน เกิดพายุใหญ่ทำให้เรือพลิกคว่ำลง ชายคนหนึ่งร่วมเดินทางในเรือลำนั้น เกาะไม้กระดานลอยขึ้นเกาะร้างได้ด้วยเคยบุญปล่อยสัตว์ปล่อยปลามาบ้าง เขาอยากกลับบ้าน แต่เหมือนหมดหวัง หลายวันต่อมาขณะก่อไฟทำอาหาร แต่โชคร้ายไฟไหม้เครื่องอำนวยความสะดวกเล็กๆ น้อยๆ หมด แม้เสื้อผ้าก็ไม่เหลือ เขานั่งหมดหวังทดท้อใจอย่างถึงที่สุด แต่เย็นวันนั้นมีเรือลำหนึ่งแล่นเข้ามาที่เกาะ รับเขากลับบ้าน เมื่อถามว่า รู้ได้อย่างไรว่าเขาอยู่บนเกาะนี้ คำตอบคือ เพราะเห็นควันไฟที่ลอยจากเกาะ ชายผู้นี้ โชคร้ายที่ไฟไหม้อุปกรณ์ดำรงชีวิตทุกอย่าง แต่เพราะไฟไหม้ จึงมีคนเห็นควันและมารับเขากลับไป

                บ่ายวันนี้เป็นรายการบรรยายธรรมของพระอาจารย์อารักษ์ อารักโข มีคำสอนที่ที่บันทึกไว้มากมาย เช่น เวลาคิดอะไรไม่ออกให้นั่งสมาธิ” “ความเครียดเกิดขึ้นเองโดยไม่รู้สาเหตุ วิธีแก้ก็ง่ายๆ คือ หลับตาลงเบา ๆ ปล่อยใจว่างๆ พระอาจารย์เทศน์ว่า คุณยายคือผู้มีบุญฤทธิ์ มีเงินเพียง 3200 บาท (สามพันสองร้อยบาท) สามารถสร้างวัดให้สาธุชนได้ใช้เป็นแสนเป็นล้านคน

                มีคำคมว่า เมื่อฝึกใจเป็น จะมีความสำเร็จแบบก้าวกระโดด ผู้ใฝ่หาความสำเร็จน่าจะนำไปทดลองนำไปใช้ดู วิทยาศาสตร์ไปไม่ถึงจิตใจ ใจของคนเรามีตัวตนอยู่จริง คนจึงชอบให้คนอื่นๆ เห็นใจ ใจเป็นดวง จึงมักเรียกกันว่า ดวงใจ หัวใจที่มีในหน้าอกด้านซ้ายไม่ใช่ใจ จิตใจคือความคิด มีความว่องไวมาก หนึ่งวินาที เดินทางได้สามแสนกิโลเมตร ใจมักท่องเที่ยวไปไกล เมื่อใจคิดมากเกินไป กำลังใจจึงตก เมื่อคนเราออกแรงจึงได้แรง ไม่ออกแรงจึงไม่เหลือแรง ดังนั้นคนเราจึงควรออกแรง

                พระอาจารย์บรรยายธรรมต่อเนื่องเหมือนสายน้ำไหลรินไม่ขาดสาย ฟังแล้วได้อรรถรสจนบันทึกไม่ค่อยทัน คนเป็นโรคซึมเศร้าเพราะขาดกำลังใจ ความเซ็งทำให้เสียงาน แต่คนก็ชอบเซ็ง ความซึมเศร้านั้นทำร้ายตัวเอง คนซึมเศร้ามักเป็นคนที่เห็นความดีของตัวเองน้อย หากต้องการช่วยคนที่เป็นโรคซึมเศร้าต้องช่วยให้เขาเห็นคุณค่าของตัวเอง จึงแก้ไขได้

                การฆ่าตัวตายนั้นไม่พ้นทุกข์ เป็นบาปหนัก หลังความตายต้องรับความทุกข์ต่อ คือตกนรกทุกข์หนักยิ่งขึ้นไปอีก พระอาจารย์แนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการฆ่าตัวตายไว้ดีมาก คือ การฆ่าตัวตายนั้นต้องไม่ให้ใครเดือดร้อน วิธีทำได้ง่ายมาก เช่น นั่งสมาธิอย่างเอาจริงเอาจังจนตาย ช่างเหมาะสำหรับผู้ที่อยากฆ่าตัวตายจริง ๆ

                คำคมเรื่องโทสะก็มีประโยชน์เช่น เวลาแห่งการโมโหคือเวลาแห่งการทำลายชีวิต คนมีสิ่งที่พิเศษกว่าสัตว์อื่นคือความคิด เสียดายที่มักคิดในทางไม่ค่อยดี ยิ่งคิดยิ่งกลุ้ม คิดดีไม่ค่อยคิด คิดไม่ดีมักช่างคิด เหตุใดจึงไม่ฝึกหยุดคิด เพราะหยุดคิดทำให้ใจมีพลัง เราทุกคนรู้ว่า เวลาที่ใจไม่ดีมักทำสิ่งใดไม่สำเร็จ บางครั้งแม้อาหารที่ชอบก็กินไม่ได้ยามที่ใจทุกข์ รวมความว่า ยามที่ใจเศร้าเหงาทุกข์ใช้แก้ไขสิ่งใดไม่ได้

                ใจของคนเหมือนน้ำมักไหลลงสู่ที่ต่ำ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องฝึกใจ หากปล่อยใจให้เช้าเซ็ง บ่ายซึม เย็นเศร้า ชีวิตก็เหมือนไร้ค่า เหตุใดคนจึงชอบความเศร้า เช่นหนังสือที่ขายได้ดีคือศาลาคนเศร้า อ่านแล้วจะแก้ปัญหาได้อย่างไร เพราะใจเศร้าแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ ใจใสจึงแก้ปัญหาได้ จึงควรทำให้ใจใสเสมอ

                สัตว์ดิรัจฉานมีอยู่มากมายในโลกนี้ แต่ต้องคิดให้ดีว่า สัตว์เหล่านั้นคืออดีตมนุษย์ พระอาจารย์ยืนยันว่า ที่สวนพนาวัฒน์เทวดามีอยู่มาก ตาของเราไม่ดีจึงมองไม่เห็น ต้องการพิสูจน์ก็ได้ มีสองวิธี คือ 1. นั่งสมาธิฝึกใจหยุดนิ่ง ทำใจใส ทำใจใสได้แล้วจึงรู้เห็นและหายสงสัยไปเอง หรือ 2. ลองตายดู คาดว่าคงไม่มีใครอยากใช้วิธีนี้

                การดำรงชีวิตอยู่ของคนมีขาดทุนมีกำไร อยู่แล้ว ไม่ฝึกปฏิบัติธรรมคืออยู่แล้วขาดทุน อยู่แล้วฝึกปฏิบัติจึงถือว่าได้กำไร บางคนเที่ยวบอกคนอื่น ด้วยความไม่รู้ว่า อย่านั่งสมาธินะ เดี๋ยวบ้า ถือได้ว่าทำบาปโดยไม่รู้ตัวทุกคำที่พูด ในฐานที่เป็นมิจฉาทิฐิ มีหรือทำความดีแล้วบ้า ที่ว่าปฏิบัติธรรมแล้วบ้านั้น เพราะคนที่เป็นบ้านั้นมีเชื้อบ้าอยู่ก่อนแล้ว จะปฏิบัติธรรมหรือไม่ปฏิบัติก็เป็นบ้าอยู่แล้ว

                คำคมต่อมา พระอาจารย์สอนว่า แสงแดดเป็นพลังงานของโลก แสงธรรมเป็นพลังแห่งใจ ใจสว่างมองโลกคนละแบบกับคนใจมืด จึงต้องฝึกใจให้สว่าง เป็นหนทางแห่งความสำเร็จ คุณยายให้คำคมไว้ว่า เป้าหมายเป็นหลัก อุปสรรคไม่มี คุณยายทำสิ่งใดจึงสำเร็จทุกอย่าง แต่บางคนกลับถือคติตรงกันข้าม อุปสรรคเป็นหลัก เป้าหายไม่มี

                คุณยายเป็นผู้มีใจใสใจสะอาด จึงรักความสะอาดเป็นชีวิตจิตใจ ท่านจัดของทุกอย่างจนสะอาดหมดจด กระทั่งแมงมุมไม่มีมุมจะอยู่ และการกระทำ คำพูด สิ่งที่คิด จะติดตัวข้ามภพข้ามชาติ สิ่งใดที่ทำข้ามภพข้ามชาติจึงจะเก่งตั้งแต่เล็ก เราต้องการให้ตนเองเก่งสิ่งใด ก็ต้องฝึกสิ่งนั้นไว้เสมอชาติต่อไปจักเก่งตั้งแต่เป็นเด็ก

                คุณยายทองสุก เป็นอาจารย์ของคุณยายอุบาสิกาจันทร์ ท่านปฏิบัติธรรมตั้งนาน แต่ไม่ว่าจะปฏิบัติอย่างไรใจไม่หยุด จึงคิดหาวิธีใหม่ หันไปหันมา พบว่า มีกระโถนพระที่ใช้ประจำวันจำนวนมาก ท่านจึงขอรับผิดชอบกระโถนเหล่านั้น ทั้งล้าง ขัด เช็ด ถู จนแห้งสนิททุกใบ จนใจของเห็นนิมิตกระโถนลอยเด่นที่ศูนย์กลางกาย เมื่อใจจรดนิ่งหนักเข้า กระโถนกลายเป็นดวงแก้วใส กลายเป็นพระแก้วใสไปได้เหมือนกัน

          เคล็ดลับสำหรับผู้เข้าถึงธรรมคือ ไถ่ถอนความถือตัวถือตนลง ห้องน้ำเป็นของต่ำในความคิดของผู้มีทิฐิมานะสูง ล้างเองไม่ได้ มักใช้ผู้อื่นล้าง บางคนล้างเองได้ แต่ต้องใช้อุปกรณ์ ล้างด้วยมือไม่ได้ รองเท้าเป็นของต่ำจัดเรียงไม่ได้ การแก้คือ ทดสอบการล้างห้องน้ำด้วยมือของเราเอง เรียงรองเท้าด้วยมือของเราเอง รับใช้ผู้อื่นด้วยตัวของเราเอง อุปาทานคือ มานะ และทิฐิจักค่อยๆ ลดลงด้วยวิธีนี้
                

แนวคิดใหม่

แนวคิดใหม่
โสภณ เปียสนิท
.......................................

                พระอาจารย์อารักษ์ เล่าถึงหนังสือ เดินไปสู่ความสุข ว่า หนังสือเล่มนี้คุณยายอธิษฐานไว้ให้ผู้มีบุญ และผู้ที่เคยร่วมบุญกันมาอ่านแล้วมีจิตศรัทธาในพระศาสนากลับมาร่วมกันสร้างบุญอีกครั้ง ผมเองได้ฟังแล้วย้อนคิดกลับไปราวปี 2518 เมื่อครั้งยังเป็นสามเณรหนุ่ม อยู่ที่วัดราษฏร์ประชุมชนาราม (วัดท่ามะขาม) มีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วเกิดปลื้มปีติใจ ชอบใจและอนุโมทนาบุญกับหมู่คณะ และเคยเดินทางพร้อมเพื่อนสามเณรอีกองค์หนึ่งไปที่วัดพระธรรมกายในปีนั้นเอง

                นับแต่นั้นมา เมื่อมีเงินมากบ้างน้อยบ้างเป็นต้องส่งไปร่วมบุญกับทางวัดพระธรรมกายตลอด ด้วยระยะเวลาที่ยาวนาน มีความผูกพันกับวัด หลวงปู่วัดปากน้ำ คุณยายอาจารย์ หลวงพ่อธัมมชโย หลวงพ่อทัตตะชีโว เสมอ เหมือนว่า วัดเป็นต้นแบบของการนำพาชีวิตตนเองก้าวเดินไปสู่ความสุข

                ชีวิตช่วงนั้นของผมเองลุ่มๆ ดอนๆ บารมีอ่อนเหลือเกิน ทางธรรมปฏิบัติไม่ก้าวหน้า ทำแล้วหยุด หยุดแล้วทำใหม่ เหมือนชาวประมงใช้อวนแหขาดๆปะๆเที่ยวหาปลาไปทั่ว จับปลาไม่ได้ หรือได้บ้างก็น้อยเสียเต็มประดา ผลของสมาธิไม่เกิด เพราะขาดความจริงจัง ทำไม่สุด ขุดไม่ถึง หรือ ไม่ทำตามคำสอนของหลวงปู่วัดปากน้ำ ขุดบ่อล่อธารา ให้อุตส่าห์ขุดร่ำไป ขุดตื้นตื้นน้ำบ่มี ขุดถึงที่น้ำจึงไหล เผลอนิดเดียวผ่านเลยไปสามสิบกว่าปี

                เปิดบันทึกดูคำสอนพระอาจารย์ ท่านสอนว่า ชีวิตเดี่ยว เป็นชีวิตที่เอื้อต่อการหลับตา ก็จริงของท่าน เพราะเป็นการตัดภาระทางสังขารหรือขันธ์ห้า (คือร่างกาย) ให้เหลือน้อยที่สุด ถ้ามีคู่ก็หมายถึงว่าเพิ่มภาระขึ้นอีก ห้าขันธ์ หากมีลูกหนึ่งคนก็เพิ่มอีกห้าขันธ์ สองคนก็สิบขันธ์ เป็นอันว่าภาระเพิ่มขึ้นตามจำนวนคน จำนวนขันธ์ โอกาสในการภาวนาก็ลดลง แต่ปัญหาแรกน่าจะอยู่ที่ว่า เรารู้หรือยังว่า ชีวิตเกิดมาทำไม่?

                เรียนธรรมะต้องถือศีลให้มั่น จึงจะรู้เรื่องดีขึ้นเรื่อยๆ ข้อนี้ก็จริงอีก เพราะศีลคือความเป็น ปกติของคน นี่คือเบื้องต้นที่ทุกคนต้องรู้ เมื่อคนไม่มีศีลจึงเป็นคนไม่ปกติ ตรองแล้วจึงรู้ ไม่ตรองไม่รู้ เห็นคนฆ่าสัตว์ทำลายชีวิตผู้อื่นแล้วเรารู้สึกอย่างไร ไม่สบายใจ เพราะระแวงว่า สักวันเราอาจถูกทำร้ายแบบนั้นบ้าง จะรู้สึกอย่างไรหากคนรอบข้างเราต่างพากันนิยมชมชอบการฆ่ากัน การทำร้ายกัน คิดกังวลหรือยังครับว่า สังคมที่นิยมการฆ่า การทำร้ายนั้น เราจะมีความสุขอยู่ได้อย่างไร ดังนั้นปกติของคนจึงต้อง ไม่ฆ่า ไม่นิยมการฆ่า การทำร้ายกัน ไม่ว่ากรณีใดๆ

                ทุกคนดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยทรัพย์สินของตน ไม่ว่าจะเป็นของจำเป็นต่อการดำรงชีวิต คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค หรือสิ่งของอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น รถยนต์ เงินทอง ของประดับต่าง ๆ ล้วนอำนวยให้ชีวิตดำรงอยู่ จะรู้สึกอย่างไรหากสมบัติเหล่านั้นของเราถูกลักขโมย แย่งชิงวิ่งราว จี้ปล้นเอาไปโดยเราไม่เต็มใจ ดังนั้นปกติของคนจึงต้องไม่แย่งชิงสิ่งของกันและกัน มีแต่ต้องช่วยเหลือแบ่งปัน

                ทุกคนมีคนอันเป็นที่รักในปกครอง หรือที่ครอบครอง เราไม่ยินดีให้ใครถูกรังแกล่วงละเมิดทางเพศ เรามีภรรยาสามีบุตรหลานอันเป็นเหมือนของรัก ไม่ต้องการให้ใครมาแย่งแบ่งปันความรักไป เพราะจะทำให้เราเป็นทุกข์ เป็นกังวลจิตใจเสียสมดุลไร้สุข ดังนั้นปกติของคนจึงต้องไม่ล่วงละเมิดบุคคลอันเป็นที่รักของกันและกัน

                ทุกคนต้องการคนจริงใจ พูดคำไหนคำนั้น ต้องการให้คนที่เรามีปฏิสัมพันธ์ตรงไปตรงมา ต้องการคนที่กล่าวคำสุภาพ ไม่หยาบคาย ไพเราะ ไม่ต้องการคำพูดส่อเสียดยุยงให้ใครเกลียดเราทำร้ายเรา พูดถึงเราในแง่เสียหายร้ายแรง เราไม่ต้องการให้ใครพูดกับเราเรื่อยเปื่อยเลื่อนลอยไร้สาระไม่อยู่กับร่องรอยที่ควรเป็น เราต้องการเป็นคนที่มีความจำที่ดี ไม่หลง ไม่ลืม ไม่เป็นโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer) ดังนั้นปกติของคนคือ ไม่ขี้หลงขี้ลืม พูดตรงตามความเป็นจริง สุภาพ ไม่ยุยงให้ใครเกลียดกัน พูดตามความจำเป็น

                ทุกคนต้องการมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ไม่ต้องการทำสิ่งผิดพลาดต่าง ๆ เช่น การเป็นคนไร้ความอาย เป็นคนโหดร้าย ล่วงละเมิดคนรักของผู้อื่น พูดคำไม่ตรง คำหยาบ ยุแยง ไร้สาระ ไม่ต้องการเป็นโรคปวดศีรษะ โรคปัญญาอ่อน แม้ชั่วขณะใดขณะหนึ่ง ดังนั้นปกติของคนจึงต้องมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์เสมอ ไม่ว่าเวลาใด การไม่ดื่มของมึนเมา จึงช่วยให้คนเป็นปกติ

                แนวคิดความเป็นปกติของคนดังที่เขียนมาทำให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ทุกคนจึงมีหน้าที่ร่วมกัน ช่วยส่งเสริมความเป็นปกติของคนด้วยการรักษาศีล 5 ข้อ ไม่ทำผิดด้วยตนเอง ไม่ส่งเสริมคนผิดศีล ไม่ยินดีการทำผิดศีลไว้เสมอ
                แนวคิดรวบยอดของคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนาจึงรวมอยู่ที่การ ทำทาน เพื่อลดละความตระหนี่เห็นแก่ตัว รักษาศีล เพื่อรักษาความเป็นปกติของคน เจริญภาวนา เพื่อเจริญสติ ทำสามประการนี้มากเข้า ความเป็นปกติของคนมากเข้า ความสุขมากเข้า จนถึงที่สุดคือ หมดทุกข์โดยสิ้นเชิง

                ธรรมะยังคงหลั่งไหลตามถ้อยคำของพระอาจารย์อย่างต่อเนื่อง คนสมัยนี้หยุดคิดไม่เป็น น่าคิดนะครับ ใจมีสภาพ คิด เป็นปกติ คนทั่วไปปล่อยความคิดวิ่งวุ่น กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ จนเคยตัว เหมือนปล่อยเด็กให้ออกจากบ้านทำสิ่งผิดจนเคยตัว นานเข้ากลายเป็นนิสัยยากต่อการฝึกหัดใหม่ เพราะเด็กติดนิสัยเสียนั่นจนยากไถ่ถอน คงต้องใช้เวลาฝึกการหยุดคิดกันใหม่

                บางครั้งที่ใจลอยมองไม่เห็นภาพ ใจของคนมีหน้าที่สำคัญสี่อย่าง คือ เห็น จำ คิด รู้ แต่ต้องระมัดระวัง เพราะใจมีความว่องไวมาก ทำได้ครั้งละเรื่อง แต่เพราะความไวจึงดูเหมือนว่า ทำได้ครั้งละหลายเรื่อง แต่ถ้าปล่อยให้ทำหลายเรื่องจนเกิดความเคยชิน อาจทำให้เผลอแม้ภาพที่อยู่ตรงหน้าจะชัดเจน แต่เพราะใจลอยคิดเรื่องอื่นๆ ทำให้มองไม่เห็นภาพ

                ใจเข้าศูนย์แล้วไม่คิด ข้อนี้จึงเป็นความสำคัญของการฝึกสมาธิ เพื่อให้ใจ หยุดคิด ข้างนอกต้องเคลื่อนไหวจึงได้งาน ส่วนข้างในต้องหยุดนิ่งจึงเกิดพลัง ใจใสมีฤทธิมีเดชมีอำนาจ ใจเศร้าหมองจึงตรงข้าม อ่อนแอพ่ายแพ้ แต่การฝึกการหยุดคิดนั้นมีหลักการง่ายๆ คือ ต้องง่ายๆ สบายๆ หลับตาเบาๆ นึกถึงดวงแก้วกลมใส ชัด สว่าง กลางท้อง ภาวนา สัมมา อรหัง ไปเรื่อยๆ แค่นั้นเอง สังเกตดูใจของตนไปเรื่อย รอ ห้ามเร่ง นึกภาพดวงแก้วนั้น นึกเท่าที่จำได้ ไม่ต้องปรับไม่ต้องจูนให้ชัด จะเบลอ จะมัวขนาดไหนก็มองไปแค่นั้น

                จากการฟังธรรมพระอาจารย์ยาวนานกว่า 3 ชั่วโมง ได้ข้อคิดมากมายหลายด้าน พบว่า ประทับใจเรื่องของคุณยายอาจารย์ มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ท่านพัฒนาชีวิตจากคนธรรมดาสามัญจากชนบท ขาดการศึกษาทางโลก แต่อาศัยศึกษาหลักวิชาธรรมกาย ของหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ อย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน จนเชี่ยวชาญ และวิชาธรรมกายนี่เอง เปลี่ยนชีวิตคุณยายกลายเป็นบุคคลอัศจรรย์ของโลกได้คนหนึ่ง

                คุณลักษณะพิเศษของคุณยายที่ทำให้เหล่าศิษยานุศิษย์รักเคารพและน้อมนำเอาไปปฏิบัติตาม เพื่อความก้าวหน้าของชีวิต ดังที่คุณยายได้ทำให้ดูตลอดชีวิตของท่าน หลายประการ คุณยายมีจิตใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว สิ่งใดที่เห็นว่าดีแล้วต้องทำจนสำเร็จ เช่นเรื่องคุณยายตามหาพ่อเพื่อขอขมา คุณยายรักบุญอย่างยิ่ง มั่นคงในการทำบุญทุกอย่าง ตั้งแต่บุญเล็กน้อยไปจนถึงบุญใหญ่ คุณยายรักความสะอาดและระเบียบ เริ่มจากสิ่งใกล้ตัวไปจนถึงสิ่งแวดล้อม คุณยายมีความกตัญญูอย่างสูงสุด คุณยายมีความเพียรยิ่งชีวิต ไม่มีคำว่าท้อ และไม่เคยน้อยใจต่อโชคชะตา มีแต่การฝึกตัวอย่างต่อเนื่อง คติประจำใจคุณยายคือ เป้าหมายเป็นหลัก อุปสรรคไม่มี

                ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้เองที่นำพาชีวิตของคนธรรมดาคนหนึ่งก้าวสู่ความเป็นบุคคลอัศจรรย์ของโลกได้อย่างน่ายกย่อง ผมนั่งฟังพระอาจารย์ไปนึกสำรวจตัวเองไปด้วยว่า มีคุณธรรมข้อใดที่เรามีอยู่บ้าง พบว่ามีอยู่เกือบทุกข้อ แต่ว่าช่างน่าสงสารตัวเองนัก มีอยู่ข้อละนิดข้อละหน่อยเท่านั้นเอง
 

คำสอนพระอาจารย์

คำสอนพระอาจารย์
โสภณ เปียสนิท
........................................

                พระอาจารย์แนะวิธีการกำจัดทิฐิมานะอย่างง่าย ด้วยการทำงานรับใช้ผู้อื่น เช่นการล้างห้องน้ำ การจัดรองเท้า การทำความสะอาดสาธารณสถาน เมื่ออุปานทาน ความยึดมั่นถือมั่นในตัวเองลดลง ทุกข์ก็ลดลง จิตก็ใสมากขึ้นตามลำดับ เห็นผิดเป็นผิด เห็นถูกเป็นถูก คนพาลเอาชนะผู้อื่น นักปราชญ์เอาชนะตนเอง

                พระอาจารย์เล่าถึงปฐมเหตุแห่งการจองเวรของพระเทวทัตต่อพระพุทธองค์ ว่า ชาตินั้นทั้งสองคนเกิดเป็นพ่อค้าด้วยกัน ซื้อขายแลกเปลี่ยนสิ่งของจากชาวบ้าน เร่ร่อนไปเรื่อย รอนแรมถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต่างแยกย้ายกันเข้าหมู่บ้าน ร้องซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าไปตามลำดับ

                เทวทัตในชาตินั้นร้องขายสินค้าถึงบ้านผู้ดีตกยากหลังหนึ่ง มียายกับหลานอยู่สองคน หลานต้องการให้ยายซื้อของชิ้นหนึ่ง ยายไม่มีเงินซื้อ จึงหยิบถาดใบหนึ่งเพื่อขอแลก เทวทัตจับถาดขัดถูดูก็รู้ทันทีว่าเป็นทองคำแท้แต่ต้องการกดราคาลงอีก จึงแกล้งบอกว่ายังมีค่าน้อยเกินไปแลกไม่ได้ และแกล้งเดินหนีไป คิดว่าเดี๋ยวจะกลับมาแลกอีกครั้งด้วยของที่ราคาต่ำลง      

                พระพุทธองค์ในพระชาตินั้นเดินตามหลังมา ถึงบ้านหลังนี้ ยายและหลานขอแลกเหมือนเดิม เมื่อเห็นว่าเป็นถาดทองคำ พระโพธิสัตว์จึงมอบของทั้งหมดที่มีให้กับยายและหลาน รับถาดทองคำแล้วเดินทางกลับ

                เทวทัตกลับมาอีกครั้งหนึ่งในตอนบ่าย รู้ว่าเพื่อนพ่อค้าของตนแลกถาดทองคำตัดหน้าไปก่อนแล้ว จึงเกิดความโกรธจนแทบคลั่ง รีบวิ่งตามไปเพื่อเอาถาดทองคำคืน เพราะตนได้มาเจอและคุยกับเจ้าของถาดไว้ก่อนแล้ว ตามมาทันที่ริมฝั่งน้ำ พบพระพุทธองค์ขึ้นเรือข้ามฟากออกจากฝั่งไปแล้ว จึงร้องตะโกนเรียกให้กลับมา

                เมื่อเรือข้ามฟากไม่กลับมารับ และไม่สามารถตามได้ทัน ความแค้นคุกรุ่นเผารนจิตใจจนหมองไหม้อยู่ภายใน จึงหยิบทรายขึ้นมาหนึ่งกำมือแล้วกล่าวคำอาฆาตว่า ข้าขอจองเวร ตามล้างผลาญไปทุกชาติเท่ากับเม็ดทรายในกำมือ

                หลังจากนั้นมาเทวทัต เมื่อเกิดมาพบพระโพธิสัตว์จะก่อเวรสร้างกรรมต่อพระองค์เรื่อยมา แต่ยังมีกรรมดี คือเมื่อไม่พบพระองค์ก็จะทำกรรมดีอยู่เรื่อยๆ เหมือนกัน ดังนั้นแม้พระเทวทัตจะถูกแผ่นดินสูบ แต่ยังได้รับพุทธพยากรณ์ว่า ต่อไปหลังพ้นกรรมจากอเวจีมหานรก นานประมาณแสนกัลป์แล้ว จะกลับมาเกิดเป็นพระปัจเจกพุทธนามว่า อัฏฐิสสระ แต่ด้วยกรรมด่าว่าพระเจ้าพระสงฆ์จะมีกลิ่นปากแรง ใครทนฟังธรรมเทศนาจนจบจะบรรลุธรรมแน่
                พระอาจารย์ย้ำว่า ใครที่มักใช้ความคิดของตนตำหนิด่าว่าพระสงฆ์อยู่เสมอ ทั้งที่เป็นปุถุชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลส ให้ระวังหน่อย เพราะหากพลาดพลั้ง คนผู้นั้นจะต้องรับกรรมหนัก ตอนหนึ่งพระอาจารย์เล่าว่า คุณยายมหาอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง มีลักษณะเด่นประการหนึ่งคือ คุณยายไม่เคยน้อยใจในชีวิต ไม่ว่าจะประสบเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอย่างไรก็ไม่น้อยใจ มองแต่แง่ดีตลอด

                เมื่อมาอยู่วัดปากน้ำใหม่ ๆ เพราะความที่มีร่างกายผอมดำเกร็ง หลายคนรังเกียจปฏิบัติต่อยายไม่ดี แต่ยายไม่ท้อใจไม่น้อยใจ รับเตียงเก่ามาทำความสะอาด เตียงนั้นมีตัวเรือดกัดกิน ยายต้องค่อยๆ จับตัวเรือดไปปล่อยอย่างสันติวิธีโดยไม่ทำลายชีวิต มุ้งเก่าท่านก็ซัก ขาดท่านก็ปะ ฉันข้าวไม่มีคนร่วมวง คนนำข้าวมาให้หน้าบอกบุญไม่รับ ท่านก็ฉันของท่านไปได้ไม่ว่าอะไร คิดในแง่ดีไว้เสมอ ฉันคนเดียวก็ดีจะได้ฉันไปปฏิบัติธรรมไป ธรรมะจึงก้าวหน้าไปเรื่อยไม่หยุด ใจใส่ใจสว่าง ไม่โมโห ไม่ขุ่น

                ยายปฏิบัติธรรมแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน วันหนึ่งนั่งสมาธิ 2 กะ กะละ 6 ชั่วโมง รวมสองกะ 12 ชั่วโมงในโรงทำวิชชา หลวงปู่วัดปากน้ำทราบว่า คุณยายเอาจริงเอาจังจนเชี่ยวชาญดีแล้วจึงมักมอบหมายงานพิเศษให้ทำบ่อย ครั้งหนึ่ง กองทัพหนูบุกนากัดกินต้นข้าวที่สุพรรณบุรี ชาวบ้านมาขอให้หลวงปู่ช่วย หลวงปู่เทศน์อบรมชาวบ้านให้มั่นคงในทาน หมั่นรักษาศีล นั่งสมาธิ กำชับให้ทำเองบ่อยๆ ก่อนให้กลับบ้าน

หลวงปู่มอบหมายคุณยายมหารัตนะอุบาสิกาจันทร์สงเคราะห์ คุณยายใช้วิชาธรรมกายนั่งสมาธิอธิษฐานแผ่เมตตาให้ชาวบ้านและหนู เกิดเหตุการณ์แปลก คือนาที่กล่าวถึงรอดพ้นจากกองทัพหนูอย่างอัศจรรย์ ทั้งที่แปลงนาใกล้เคียงถูกหนูกัดกินเสียหายแทบไม่เหลือ เรื่องนี้เป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวางในหมู่ศิษย์ของหลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ต่างประทับใจในเมตตาธรรมของหลวงปู่และคุณยาย สมตามคำสวดมนต์ที่ว่า สังฆัง เม สรณัง วะรัง พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของเรา

การปลูกฝังความคิดเพื่อการสร้างชาติของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ประเทศอังกฤษปลูกฝังด้วยการให้เยาวชนศึกษาละครของเช็คสเปียร์ ผ่านโรงละครทั่วประเทศ ญี่ปุ่นใช้การ์ตูนที่มีเนื้อหาสาระดีส่งเสริมให้เด็กอ่าน ส่วนไทยไม่มีแบบแผนอะไรเป็นพิเศษ เด็กและเยาวชนเอาขุนช้าง ขุนแผน และศรีธนญชัยเป็นแบบอย่าง ผลคือเรามีคนฉลาดแบบศรีธนญชัยอยู่มาก

พระอาจารย์วิพากษ์ว่า คนสมัยใหม่ไม่ได้เอาพระเป็นต้นบุญต้นแบบ คิดว่าพระก็อยู่ของพระ คนละส่วนกับชีวิตประจำวันของชาวบ้าน คนทั่วโลกคิดเหมือนกันหมดว่า คนทุกคนเกิดมาเพื่อศึกษาเล่าเรียนเมื่อวัยเยา ครองเรือนเมื่อเติบโต ดำรงชีวิตสืบต่อวงศ์ตระกูล แล้วก็ตายจากไป

คนเรียน (ทางโลก) มากมีความถือตัวสูง มักทำตัวเหมือนชาล้นถ้วย ตามนิทานเซ็น เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งมีชาวบ้านผู้มียศศักดิ์สูงมีความรู้สูงเข้าพบพระอาจารย์นิกายเซ็นรูปหนึ่ง ท่านปฏิสันถารอย่างดีแล้วรินชาให้ดื่ม แต่เมื่อชาเต็มถ้วยแล้วท่านยังรินต่อไปโดยไม่หยุด น้ำชาไหลนองพื้น คนผู้มีมานะทิฐิสูงเตือนพระอาจารย์ว่า น้ำเต็มแล้วหลวงพ่อ รินอีกทำไมเล่า

พระอาจารย์ตอบว่า โยม น้ำเต็มถ้วยแล้ว รินเติมอีกไม่ได้ ก็เหมือนกับคนที่มีทิฐิมาก ถือตัวว่ามีความรู้มาก แม้มาวัดก็ไม่ได้ความรู้เพิ่มเติม เพราะถ้วยมันเต็มแล้ว เติมอีกก็ไม่มีประโยชน์ จึงมีสุภาษิตเตือนกันต่อมาว่า อย่าทำตนเป็นชาล้นถ้วย เพราะจะไม่ได้ความรู้ใดๆ เพิ่มเติมอีก

คนมาวัดต้องทำบุญให้ครบ 3 ด้าน เรียนรู้เรื่องการบริจาคทาน การรักษาศีล และการสวดมนต์เจริญภาวนา เพราะทำบุญแต่ละด้านให้ผลไม่เหมือนกัน การทำทาน ทำให้มีทรัพย์สินเงินทอง การรักษาศีลทำให้ร่างกายแข็งแรง อายุยืน ผิวพรรณดี มีความสุข ภาวนาทำให้มีสติปัญญาดี

อยากมีทรัพย์สินเงินทองต้องทำทานไว้เสมอ อยากมีร่างกายแข็งแรงผิวพรรณดีมีความสุข อายุยืนนานต้องรักษาศีล อยากมีสติปัญญาดีต้องสวดมนต์ภาวนา ทุกคนจึงควรทำบุญให้ครบทั้งสามด้าน ใครบ้างที่ต้องการมีทรัพย์ แต่ร่างกายไม่แข็งแรง  ใครบ้างที่ต้องการเพียงแค่ร่างกายแข็งแรง แต่ไม่มีปัญญา ไม่มีแน่ จึงเป็นความจำเป็นสำหรับทุกคนที่ต้องทำบุญให้ครบ

พระอาจารย์ให้ข้อสังเกตไว้ว่า วงเหล้าเป็นที่กระพือความชั่วของมนุษย์ นับว่าแหลมคมท้าทายความคิดยิ่งนัก เพราะปกติแล้ว คนดื่มเหล้าแล้วก็เล่าเรื่อง พอเล่าเรื่องแล้วก็เปลืองเหล้า เรื่องที่เล่ามักเป็นเรื่องซ้ำๆ ในทางแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ควางเก่งกล้าสามารถของตนเอง ความไม่ดีของคนอื่นเสมอ

คบคนพาลความดีสิ้นสูญ มีสุภาษิตเตือนใจทำนองนี้อยู่มากมาย เช่น คบคนเช่นใดเป็นไปเช่นนั้น กรรมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ บางทีสอนเปรียบเทียบด้วยคำกวีให้น่าฟังว่า ปลาร้าห่อพันด้วย  ใบคา ใบย่อมเหม็นคาวปลา คละคลุ้ง สำหรับผู้มีปัญญานำไปไตร่ตรองว่า เหตุใดคนเก่าๆ จึงให้ความสำคัญกับการคบคนถึงเพียงนี้ น่าคิดว่า ปัจจุบันนี้เราตระหนักรู้ความสำคัญกับการคบค้าสมาคมมากน้อยเพียงใด เด็กและเยาวชนเลือกคบมิตรด้วยความพิถีพิถันเพียงใด ผู้ใหญ่นำหลักการคบมิตรสอนบุตรหลานอย่างเป็นระบบหรือไม่ เพียงไร?
คำสอนพระอาจารย์
โสภณ เปียสนิท
........................................

                พระอาจารย์แนะวิธีการกำจัดทิฐิมานะอย่างง่าย ด้วยการทำงานรับใช้ผู้อื่น เช่นการล้างห้องน้ำ การจัดรองเท้า การทำความสะอาดสาธารณสถาน เมื่ออุปานทาน ความยึดมั่นถือมั่นในตัวเองลดลง ทุกข์ก็ลดลง จิตก็ใสมากขึ้นตามลำดับ เห็นผิดเป็นผิด เห็นถูกเป็นถูก คนพาลเอาชนะผู้อื่น นักปราชญ์เอาชนะตนเอง

                พระอาจารย์เล่าถึงปฐมเหตุแห่งการจองเวรของพระเทวทัตต่อพระพุทธองค์ ว่า ชาตินั้นทั้งสองคนเกิดเป็นพ่อค้าด้วยกัน ซื้อขายแลกเปลี่ยนสิ่งของจากชาวบ้าน เร่ร่อนไปเรื่อย รอนแรมถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต่างแยกย้ายกันเข้าหมู่บ้าน ร้องซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าไปตามลำดับ

                เทวทัตในชาตินั้นร้องขายสินค้าถึงบ้านผู้ดีตกยากหลังหนึ่ง มียายกับหลานอยู่สองคน หลานต้องการให้ยายซื้อของชิ้นหนึ่ง ยายไม่มีเงินซื้อ จึงหยิบถาดใบหนึ่งเพื่อขอแลก เทวทัตจับถาดขัดถูดูก็รู้ทันทีว่าเป็นทองคำแท้แต่ต้องการกดราคาลงอีก จึงแกล้งบอกว่ายังมีค่าน้อยเกินไปแลกไม่ได้ และแกล้งเดินหนีไป คิดว่าเดี๋ยวจะกลับมาแลกอีกครั้งด้วยของที่ราคาต่ำลง      

                พระพุทธองค์ในพระชาตินั้นเดินตามหลังมา ถึงบ้านหลังนี้ ยายและหลานขอแลกเหมือนเดิม เมื่อเห็นว่าเป็นถาดทองคำ พระโพธิสัตว์จึงมอบของทั้งหมดที่มีให้กับยายและหลาน รับถาดทองคำแล้วเดินทางกลับ

                เทวทัตกลับมาอีกครั้งหนึ่งในตอนบ่าย รู้ว่าเพื่อนพ่อค้าของตนแลกถาดทองคำตัดหน้าไปก่อนแล้ว จึงเกิดความโกรธจนแทบคลั่ง รีบวิ่งตามไปเพื่อเอาถาดทองคำคืน เพราะตนได้มาเจอและคุยกับเจ้าของถาดไว้ก่อนแล้ว ตามมาทันที่ริมฝั่งน้ำ พบพระพุทธองค์ขึ้นเรือข้ามฟากออกจากฝั่งไปแล้ว จึงร้องตะโกนเรียกให้กลับมา

                เมื่อเรือข้ามฟากไม่กลับมารับ และไม่สามารถตามได้ทัน ความแค้นคุกรุ่นเผารนจิตใจจนหมองไหม้อยู่ภายใน จึงหยิบทรายขึ้นมาหนึ่งกำมือแล้วกล่าวคำอาฆาตว่า ข้าขอจองเวร ตามล้างผลาญไปทุกชาติเท่ากับเม็ดทรายในกำมือ

                หลังจากนั้นมาเทวทัต เมื่อเกิดมาพบพระโพธิสัตว์จะก่อเวรสร้างกรรมต่อพระองค์เรื่อยมา แต่ยังมีกรรมดี คือเมื่อไม่พบพระองค์ก็จะทำกรรมดีอยู่เรื่อยๆ เหมือนกัน ดังนั้นแม้พระเทวทัตจะถูกแผ่นดินสูบ แต่ยังได้รับพุทธพยากรณ์ว่า ต่อไปหลังพ้นกรรมจากอเวจีมหานรก นานประมาณแสนกัลป์แล้ว จะกลับมาเกิดเป็นพระปัจเจกพุทธนามว่า อัฏฐิสสระ แต่ด้วยกรรมด่าว่าพระเจ้าพระสงฆ์จะมีกลิ่นปากแรง ใครทนฟังธรรมเทศนาจนจบจะบรรลุธรรมแน่
                พระอาจารย์ย้ำว่า ใครที่มักใช้ความคิดของตนตำหนิด่าว่าพระสงฆ์อยู่เสมอ ทั้งที่เป็นปุถุชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลส ให้ระวังหน่อย เพราะหากพลาดพลั้ง คนผู้นั้นจะต้องรับกรรมหนัก ตอนหนึ่งพระอาจารย์เล่าว่า คุณยายมหาอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง มีลักษณะเด่นประการหนึ่งคือ คุณยายไม่เคยน้อยใจในชีวิต ไม่ว่าจะประสบเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอย่างไรก็ไม่น้อยใจ มองแต่แง่ดีตลอด

                เมื่อมาอยู่วัดปากน้ำใหม่ ๆ เพราะความที่มีร่างกายผอมดำเกร็ง หลายคนรังเกียจปฏิบัติต่อยายไม่ดี แต่ยายไม่ท้อใจไม่น้อยใจ รับเตียงเก่ามาทำความสะอาด เตียงนั้นมีตัวเรือดกัดกิน ยายต้องค่อยๆ จับตัวเรือดไปปล่อยอย่างสันติวิธีโดยไม่ทำลายชีวิต มุ้งเก่าท่านก็ซัก ขาดท่านก็ปะ ฉันข้าวไม่มีคนร่วมวง คนนำข้าวมาให้หน้าบอกบุญไม่รับ ท่านก็ฉันของท่านไปได้ไม่ว่าอะไร คิดในแง่ดีไว้เสมอ ฉันคนเดียวก็ดีจะได้ฉันไปปฏิบัติธรรมไป ธรรมะจึงก้าวหน้าไปเรื่อยไม่หยุด ใจใส่ใจสว่าง ไม่โมโห ไม่ขุ่น

                ยายปฏิบัติธรรมแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน วันหนึ่งนั่งสมาธิ 2 กะ กะละ 6 ชั่วโมง รวมสองกะ 12 ชั่วโมงในโรงทำวิชชา หลวงปู่วัดปากน้ำทราบว่า คุณยายเอาจริงเอาจังจนเชี่ยวชาญดีแล้วจึงมักมอบหมายงานพิเศษให้ทำบ่อย ครั้งหนึ่ง กองทัพหนูบุกนากัดกินต้นข้าวที่สุพรรณบุรี ชาวบ้านมาขอให้หลวงปู่ช่วย หลวงปู่เทศน์อบรมชาวบ้านให้มั่นคงในทาน หมั่นรักษาศีล นั่งสมาธิ กำชับให้ทำเองบ่อยๆ ก่อนให้กลับบ้าน

หลวงปู่มอบหมายคุณยายมหารัตนะอุบาสิกาจันทร์สงเคราะห์ คุณยายใช้วิชาธรรมกายนั่งสมาธิอธิษฐานแผ่เมตตาให้ชาวบ้านและหนู เกิดเหตุการณ์แปลก คือนาที่กล่าวถึงรอดพ้นจากกองทัพหนูอย่างอัศจรรย์ ทั้งที่แปลงนาใกล้เคียงถูกหนูกัดกินเสียหายแทบไม่เหลือ เรื่องนี้เป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวางในหมู่ศิษย์ของหลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ต่างประทับใจในเมตตาธรรมของหลวงปู่และคุณยาย สมตามคำสวดมนต์ที่ว่า สังฆัง เม สรณัง วะรัง พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของเรา

การปลูกฝังความคิดเพื่อการสร้างชาติของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ประเทศอังกฤษปลูกฝังด้วยการให้เยาวชนศึกษาละครของเช็คสเปียร์ ผ่านโรงละครทั่วประเทศ ญี่ปุ่นใช้การ์ตูนที่มีเนื้อหาสาระดีส่งเสริมให้เด็กอ่าน ส่วนไทยไม่มีแบบแผนอะไรเป็นพิเศษ เด็กและเยาวชนเอาขุนช้าง ขุนแผน และศรีธนญชัยเป็นแบบอย่าง ผลคือเรามีคนฉลาดแบบศรีธนญชัยอยู่มาก

พระอาจารย์วิพากษ์ว่า คนสมัยใหม่ไม่ได้เอาพระเป็นต้นบุญต้นแบบ คิดว่าพระก็อยู่ของพระ คนละส่วนกับชีวิตประจำวันของชาวบ้าน คนทั่วโลกคิดเหมือนกันหมดว่า คนทุกคนเกิดมาเพื่อศึกษาเล่าเรียนเมื่อวัยเยา ครองเรือนเมื่อเติบโต ดำรงชีวิตสืบต่อวงศ์ตระกูล แล้วก็ตายจากไป

คนเรียน (ทางโลก) มากมีความถือตัวสูง มักทำตัวเหมือนชาล้นถ้วย ตามนิทานเซ็น เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งมีชาวบ้านผู้มียศศักดิ์สูงมีความรู้สูงเข้าพบพระอาจารย์นิกายเซ็นรูปหนึ่ง ท่านปฏิสันถารอย่างดีแล้วรินชาให้ดื่ม แต่เมื่อชาเต็มถ้วยแล้วท่านยังรินต่อไปโดยไม่หยุด น้ำชาไหลนองพื้น คนผู้มีมานะทิฐิสูงเตือนพระอาจารย์ว่า น้ำเต็มแล้วหลวงพ่อ รินอีกทำไมเล่า

พระอาจารย์ตอบว่า โยม น้ำเต็มถ้วยแล้ว รินเติมอีกไม่ได้ ก็เหมือนกับคนที่มีทิฐิมาก ถือตัวว่ามีความรู้มาก แม้มาวัดก็ไม่ได้ความรู้เพิ่มเติม เพราะถ้วยมันเต็มแล้ว เติมอีกก็ไม่มีประโยชน์ จึงมีสุภาษิตเตือนกันต่อมาว่า อย่าทำตนเป็นชาล้นถ้วย เพราะจะไม่ได้ความรู้ใดๆ เพิ่มเติมอีก

คนมาวัดต้องทำบุญให้ครบ 3 ด้าน เรียนรู้เรื่องการบริจาคทาน การรักษาศีล และการสวดมนต์เจริญภาวนา เพราะทำบุญแต่ละด้านให้ผลไม่เหมือนกัน การทำทาน ทำให้มีทรัพย์สินเงินทอง การรักษาศีลทำให้ร่างกายแข็งแรง อายุยืน ผิวพรรณดี มีความสุข ภาวนาทำให้มีสติปัญญาดี

อยากมีทรัพย์สินเงินทองต้องทำทานไว้เสมอ อยากมีร่างกายแข็งแรงผิวพรรณดีมีความสุข อายุยืนนานต้องรักษาศีล อยากมีสติปัญญาดีต้องสวดมนต์ภาวนา ทุกคนจึงควรทำบุญให้ครบทั้งสามด้าน ใครบ้างที่ต้องการมีทรัพย์ แต่ร่างกายไม่แข็งแรง  ใครบ้างที่ต้องการเพียงแค่ร่างกายแข็งแรง แต่ไม่มีปัญญา ไม่มีแน่ จึงเป็นความจำเป็นสำหรับทุกคนที่ต้องทำบุญให้ครบ

พระอาจารย์ให้ข้อสังเกตไว้ว่า วงเหล้าเป็นที่กระพือความชั่วของมนุษย์ นับว่าแหลมคมท้าทายความคิดยิ่งนัก เพราะปกติแล้ว คนดื่มเหล้าแล้วก็เล่าเรื่อง พอเล่าเรื่องแล้วก็เปลืองเหล้า เรื่องที่เล่ามักเป็นเรื่องซ้ำๆ ในทางแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ควางเก่งกล้าสามารถของตนเอง ความไม่ดีของคนอื่นเสมอ

คบคนพาลความดีสิ้นสูญ มีสุภาษิตเตือนใจทำนองนี้อยู่มากมาย เช่น คบคนเช่นใดเป็นไปเช่นนั้น กรรมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ บางทีสอนเปรียบเทียบด้วยคำกวีให้น่าฟังว่า ปลาร้าห่อพันด้วย  ใบคา ใบย่อมเหม็นคาวปลา คละคลุ้ง สำหรับผู้มีปัญญานำไปไตร่ตรองว่า เหตุใดคนเก่าๆ จึงให้ความสำคัญกับการคบคนถึงเพียงนี้ น่าคิดว่า ปัจจุบันนี้เราตระหนักรู้ความสำคัญกับการคบค้าสมาคมมากน้อยเพียงใด เด็กและเยาวชนเลือกคบมิตรด้วยความพิถีพิถันเพียงใด ผู้ใหญ่นำหลักการคบมิตรสอนบุตรหลานอย่างเป็นระบบหรือไม่ เพียงไร?
คำสอนพระอาจารย์
โสภณ เปียสนิท
........................................

                พระอาจารย์แนะวิธีการกำจัดทิฐิมานะอย่างง่าย ด้วยการทำงานรับใช้ผู้อื่น เช่นการล้างห้องน้ำ การจัดรองเท้า การทำความสะอาดสาธารณสถาน เมื่ออุปานทาน ความยึดมั่นถือมั่นในตัวเองลดลง ทุกข์ก็ลดลง จิตก็ใสมากขึ้นตามลำดับ เห็นผิดเป็นผิด เห็นถูกเป็นถูก คนพาลเอาชนะผู้อื่น นักปราชญ์เอาชนะตนเอง

                พระอาจารย์เล่าถึงปฐมเหตุแห่งการจองเวรของพระเทวทัตต่อพระพุทธองค์ ว่า ชาตินั้นทั้งสองคนเกิดเป็นพ่อค้าด้วยกัน ซื้อขายแลกเปลี่ยนสิ่งของจากชาวบ้าน เร่ร่อนไปเรื่อย รอนแรมถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต่างแยกย้ายกันเข้าหมู่บ้าน ร้องซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าไปตามลำดับ

                เทวทัตในชาตินั้นร้องขายสินค้าถึงบ้านผู้ดีตกยากหลังหนึ่ง มียายกับหลานอยู่สองคน หลานต้องการให้ยายซื้อของชิ้นหนึ่ง ยายไม่มีเงินซื้อ จึงหยิบถาดใบหนึ่งเพื่อขอแลก เทวทัตจับถาดขัดถูดูก็รู้ทันทีว่าเป็นทองคำแท้แต่ต้องการกดราคาลงอีก จึงแกล้งบอกว่ายังมีค่าน้อยเกินไปแลกไม่ได้ และแกล้งเดินหนีไป คิดว่าเดี๋ยวจะกลับมาแลกอีกครั้งด้วยของที่ราคาต่ำลง      

                พระพุทธองค์ในพระชาตินั้นเดินตามหลังมา ถึงบ้านหลังนี้ ยายและหลานขอแลกเหมือนเดิม เมื่อเห็นว่าเป็นถาดทองคำ พระโพธิสัตว์จึงมอบของทั้งหมดที่มีให้กับยายและหลาน รับถาดทองคำแล้วเดินทางกลับ

                เทวทัตกลับมาอีกครั้งหนึ่งในตอนบ่าย รู้ว่าเพื่อนพ่อค้าของตนแลกถาดทองคำตัดหน้าไปก่อนแล้ว จึงเกิดความโกรธจนแทบคลั่ง รีบวิ่งตามไปเพื่อเอาถาดทองคำคืน เพราะตนได้มาเจอและคุยกับเจ้าของถาดไว้ก่อนแล้ว ตามมาทันที่ริมฝั่งน้ำ พบพระพุทธองค์ขึ้นเรือข้ามฟากออกจากฝั่งไปแล้ว จึงร้องตะโกนเรียกให้กลับมา

                เมื่อเรือข้ามฟากไม่กลับมารับ และไม่สามารถตามได้ทัน ความแค้นคุกรุ่นเผารนจิตใจจนหมองไหม้อยู่ภายใน จึงหยิบทรายขึ้นมาหนึ่งกำมือแล้วกล่าวคำอาฆาตว่า ข้าขอจองเวร ตามล้างผลาญไปทุกชาติเท่ากับเม็ดทรายในกำมือ

                หลังจากนั้นมาเทวทัต เมื่อเกิดมาพบพระโพธิสัตว์จะก่อเวรสร้างกรรมต่อพระองค์เรื่อยมา แต่ยังมีกรรมดี คือเมื่อไม่พบพระองค์ก็จะทำกรรมดีอยู่เรื่อยๆ เหมือนกัน ดังนั้นแม้พระเทวทัตจะถูกแผ่นดินสูบ แต่ยังได้รับพุทธพยากรณ์ว่า ต่อไปหลังพ้นกรรมจากอเวจีมหานรก นานประมาณแสนกัลป์แล้ว จะกลับมาเกิดเป็นพระปัจเจกพุทธนามว่า อัฏฐิสสระ แต่ด้วยกรรมด่าว่าพระเจ้าพระสงฆ์จะมีกลิ่นปากแรง ใครทนฟังธรรมเทศนาจนจบจะบรรลุธรรมแน่
                พระอาจารย์ย้ำว่า ใครที่มักใช้ความคิดของตนตำหนิด่าว่าพระสงฆ์อยู่เสมอ ทั้งที่เป็นปุถุชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลส ให้ระวังหน่อย เพราะหากพลาดพลั้ง คนผู้นั้นจะต้องรับกรรมหนัก ตอนหนึ่งพระอาจารย์เล่าว่า คุณยายมหาอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง มีลักษณะเด่นประการหนึ่งคือ คุณยายไม่เคยน้อยใจในชีวิต ไม่ว่าจะประสบเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอย่างไรก็ไม่น้อยใจ มองแต่แง่ดีตลอด

                เมื่อมาอยู่วัดปากน้ำใหม่ ๆ เพราะความที่มีร่างกายผอมดำเกร็ง หลายคนรังเกียจปฏิบัติต่อยายไม่ดี แต่ยายไม่ท้อใจไม่น้อยใจ รับเตียงเก่ามาทำความสะอาด เตียงนั้นมีตัวเรือดกัดกิน ยายต้องค่อยๆ จับตัวเรือดไปปล่อยอย่างสันติวิธีโดยไม่ทำลายชีวิต มุ้งเก่าท่านก็ซัก ขาดท่านก็ปะ ฉันข้าวไม่มีคนร่วมวง คนนำข้าวมาให้หน้าบอกบุญไม่รับ ท่านก็ฉันของท่านไปได้ไม่ว่าอะไร คิดในแง่ดีไว้เสมอ ฉันคนเดียวก็ดีจะได้ฉันไปปฏิบัติธรรมไป ธรรมะจึงก้าวหน้าไปเรื่อยไม่หยุด ใจใส่ใจสว่าง ไม่โมโห ไม่ขุ่น

                ยายปฏิบัติธรรมแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน วันหนึ่งนั่งสมาธิ 2 กะ กะละ 6 ชั่วโมง รวมสองกะ 12 ชั่วโมงในโรงทำวิชชา หลวงปู่วัดปากน้ำทราบว่า คุณยายเอาจริงเอาจังจนเชี่ยวชาญดีแล้วจึงมักมอบหมายงานพิเศษให้ทำบ่อย ครั้งหนึ่ง กองทัพหนูบุกนากัดกินต้นข้าวที่สุพรรณบุรี ชาวบ้านมาขอให้หลวงปู่ช่วย หลวงปู่เทศน์อบรมชาวบ้านให้มั่นคงในทาน หมั่นรักษาศีล นั่งสมาธิ กำชับให้ทำเองบ่อยๆ ก่อนให้กลับบ้าน

หลวงปู่มอบหมายคุณยายมหารัตนะอุบาสิกาจันทร์สงเคราะห์ คุณยายใช้วิชาธรรมกายนั่งสมาธิอธิษฐานแผ่เมตตาให้ชาวบ้านและหนู เกิดเหตุการณ์แปลก คือนาที่กล่าวถึงรอดพ้นจากกองทัพหนูอย่างอัศจรรย์ ทั้งที่แปลงนาใกล้เคียงถูกหนูกัดกินเสียหายแทบไม่เหลือ เรื่องนี้เป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวางในหมู่ศิษย์ของหลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ต่างประทับใจในเมตตาธรรมของหลวงปู่และคุณยาย สมตามคำสวดมนต์ที่ว่า สังฆัง เม สรณัง วะรัง พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของเรา

การปลูกฝังความคิดเพื่อการสร้างชาติของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ประเทศอังกฤษปลูกฝังด้วยการให้เยาวชนศึกษาละครของเช็คสเปียร์ ผ่านโรงละครทั่วประเทศ ญี่ปุ่นใช้การ์ตูนที่มีเนื้อหาสาระดีส่งเสริมให้เด็กอ่าน ส่วนไทยไม่มีแบบแผนอะไรเป็นพิเศษ เด็กและเยาวชนเอาขุนช้าง ขุนแผน และศรีธนญชัยเป็นแบบอย่าง ผลคือเรามีคนฉลาดแบบศรีธนญชัยอยู่มาก

พระอาจารย์วิพากษ์ว่า คนสมัยใหม่ไม่ได้เอาพระเป็นต้นบุญต้นแบบ คิดว่าพระก็อยู่ของพระ คนละส่วนกับชีวิตประจำวันของชาวบ้าน คนทั่วโลกคิดเหมือนกันหมดว่า คนทุกคนเกิดมาเพื่อศึกษาเล่าเรียนเมื่อวัยเยา ครองเรือนเมื่อเติบโต ดำรงชีวิตสืบต่อวงศ์ตระกูล แล้วก็ตายจากไป

คนเรียน (ทางโลก) มากมีความถือตัวสูง มักทำตัวเหมือนชาล้นถ้วย ตามนิทานเซ็น เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งมีชาวบ้านผู้มียศศักดิ์สูงมีความรู้สูงเข้าพบพระอาจารย์นิกายเซ็นรูปหนึ่ง ท่านปฏิสันถารอย่างดีแล้วรินชาให้ดื่ม แต่เมื่อชาเต็มถ้วยแล้วท่านยังรินต่อไปโดยไม่หยุด น้ำชาไหลนองพื้น คนผู้มีมานะทิฐิสูงเตือนพระอาจารย์ว่า น้ำเต็มแล้วหลวงพ่อ รินอีกทำไมเล่า

พระอาจารย์ตอบว่า โยม น้ำเต็มถ้วยแล้ว รินเติมอีกไม่ได้ ก็เหมือนกับคนที่มีทิฐิมาก ถือตัวว่ามีความรู้มาก แม้มาวัดก็ไม่ได้ความรู้เพิ่มเติม เพราะถ้วยมันเต็มแล้ว เติมอีกก็ไม่มีประโยชน์ จึงมีสุภาษิตเตือนกันต่อมาว่า อย่าทำตนเป็นชาล้นถ้วย เพราะจะไม่ได้ความรู้ใดๆ เพิ่มเติมอีก

คนมาวัดต้องทำบุญให้ครบ 3 ด้าน เรียนรู้เรื่องการบริจาคทาน การรักษาศีล และการสวดมนต์เจริญภาวนา เพราะทำบุญแต่ละด้านให้ผลไม่เหมือนกัน การทำทาน ทำให้มีทรัพย์สินเงินทอง การรักษาศีลทำให้ร่างกายแข็งแรง อายุยืน ผิวพรรณดี มีความสุข ภาวนาทำให้มีสติปัญญาดี

อยากมีทรัพย์สินเงินทองต้องทำทานไว้เสมอ อยากมีร่างกายแข็งแรงผิวพรรณดีมีความสุข อายุยืนนานต้องรักษาศีล อยากมีสติปัญญาดีต้องสวดมนต์ภาวนา ทุกคนจึงควรทำบุญให้ครบทั้งสามด้าน ใครบ้างที่ต้องการมีทรัพย์ แต่ร่างกายไม่แข็งแรง  ใครบ้างที่ต้องการเพียงแค่ร่างกายแข็งแรง แต่ไม่มีปัญญา ไม่มีแน่ จึงเป็นความจำเป็นสำหรับทุกคนที่ต้องทำบุญให้ครบ

พระอาจารย์ให้ข้อสังเกตไว้ว่า วงเหล้าเป็นที่กระพือความชั่วของมนุษย์ นับว่าแหลมคมท้าทายความคิดยิ่งนัก เพราะปกติแล้ว คนดื่มเหล้าแล้วก็เล่าเรื่อง พอเล่าเรื่องแล้วก็เปลืองเหล้า เรื่องที่เล่ามักเป็นเรื่องซ้ำๆ ในทางแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ควางเก่งกล้าสามารถของตนเอง ความไม่ดีของคนอื่นเสมอ

คบคนพาลความดีสิ้นสูญ มีสุภาษิตเตือนใจทำนองนี้อยู่มากมาย เช่น คบคนเช่นใดเป็นไปเช่นนั้น กรรมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ บางทีสอนเปรียบเทียบด้วยคำกวีให้น่าฟังว่า ปลาร้าห่อพันด้วย  ใบคา ใบย่อมเหม็นคาวปลา คละคลุ้ง สำหรับผู้มีปัญญานำไปไตร่ตรองว่า เหตุใดคนเก่าๆ จึงให้ความสำคัญกับการคบคนถึงเพียงนี้ น่าคิดว่า ปัจจุบันนี้เราตระหนักรู้ความสำคัญกับการคบค้าสมาคมมากน้อยเพียงใด เด็กและเยาวชนเลือกคบมิตรด้วยความพิถีพิถันเพียงใด ผู้ใหญ่นำหลักการคบมิตรสอนบุตรหลานอย่างเป็นระบบหรือไม่ เพียงไร?

วันแรกแห่งการปฏิบัติธรรม

วันแรกแห่งการปฏิบัติธรรม
โสภณ เปียสนิท
........................................

                ผม (ผู้บันทึก) เล่าถึงการเดินทางถึง สวนพนาวัฒน์ ธรรมสถานที่สวยงามน่าประทับใจเหมือนแดนสวรรค์บนดิน ที่อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ให้ผู้อ่านรับรู้ถึงอีกแนวทางหนึ่งในการดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคม ที่ต่างคนต่างเลือกทางชีวิตของตนเพื่อก้าวเดิน

ผมเรียนรู้เรื่องการปฏิบัติตัวบนยอดดอย เพื่อให้ตนเองรอดพ้นจากไข้หวัด อาการไอจามน้ำมูกไหลเป็นอุปสรรคของการปฏิบัติธรรม ทั้งต่อตนเองและเพื่อนร่วมทาง หวังว่าครั้งนี้จักสร้างบารมีให้สมกับที่มีโอกาสเกิดเป็นคน ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า จะมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมทุกวันเพื่อบูชาคุณแห่งพระรัตนตรัย

                พระสอนว่า การทำทานคือบารมีระดับต้น ทำให้มีทรัพย์ การรักษาศีล คือบารมีระดับกลาง ทำให้ร่างกายสวยงามแข็งแรง การเจริญภาวนา คือบารมีระดับปลาย ส่งเสริมปัญญา ชาวพุทธโดยมากพอใจกับการทำทาน จำนวนน้อยพัฒนาตนเองไปสู่ระดับการรักษาศีล จำนวนนิดหน่อย (น้อยกว่าน้อยอีกนิด) พัฒนาไปสู่การสร้างบารมีระดับปลายคือ การเจริญภาวนา (สวดมนต์ นั่งสมาธิ)

                หลังการรับประทานอาหารกลางวัน มีเวลาพักผ่อนอีกเล็กน้อย เดินดูตรงหน้าประตูอาคารปฏิบัติธรรม พบรายชื่อพระอาจารย์ผู้ให้การสงเคราะห์มีชื่อปรากฏอยู่ 4 รูป พระอาจารย์สันทัด รวิวัณโณ พระอาจารย์อารักษ์ ญาณารักโข พระอาจารย์เรืองศักดิ์ เตชวโร พระอาจารย์ศาสตรา จิรปุญโญ

                เดินภาวนาอยู่ที่ริมระเบียงเรื่อย ๆ สบาย ๆ เตรียมตัว พยายามส่งใจมองศูนย์กลางกายทุกครั้งที่ภาวนาคำว่า สัมมา อรหัง ๆ ๆ แต่เพราะความอ่อนหัด จรดใจได้หน่อยหนึ่ง ใจก็ย้ายไปที่อื่นๆ ดึงกลับมาได้อีกหน่อย ก็ย้ายไปที่อื่นอีก เป็นอย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า นานนับสิบๆ ปีที่ฝึกปฏิบัติธรรม แต่จิตยังไม่อาจก้าวสู่ความสงบ

กิจกรรมต่อจากนี้ คือการนั่งฟังพี่เลี้ยง ฟังธรรมจากพระอาจารย์ และปฏิบัติธรรม กิจกรรมทั้งหมดอาจต้องใช้เวลาเกินกว่าสามชั่วโมง
เวลา 13.00 น. ผู้แสวงบุญจำนวน 432 ชีวิต เริ่มเดินทางเข้าสู่ห้องปฏิบัติธรรม อาคารค้นวิชา คณะวิทยากร กลุ่มดอกไม้บาน เปิดเพลงบรรเลงเบา ๆ ก่อนที่จะเปิดปฐมนิเทศด้วยการกล่าวต้อนรับ พร้อมเล่าถึงความเป็นมาของสถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้
หลวงพ่อธัมมชโยทราบว่า คณะศิษย์ของท่านโดยส่วนมากเริ่มฝึกปฏิบัติธรรมที่บ้าน ท่ามกลางปัญหานานาประการ ปัญหาจากหน้าที่การงาน ปัญหาจากครอบครัว ส่วนวันอาทิตย์มาทำบุญที่วัด แม้มีโอกาสปฏิบัติธรรมมากขึ้นกว่าเดิม แต่ผลแห่งการปฏิบัติยังไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ควรมีสถานที่ปฏิบัติธรรมให้หมู่ศิษย์ ได้ลาหยุดจากกิจวัตรประจำวันสัก 3 วันบ้าง 5 วันบ้าง 7 วันบ้าง เพื่อไปปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง

นับแต่ก่อตั้งธรรมสถานเช่นนี้ขึ้น บรรดาศิษย์ผู้มีจิตใจใส เข้าร่วมโครงการจำนวนมากเป็นผู้มีอิทธิบาทธรรมพร้อมทั้ง ฉันทะมีความรัก วิริยะมีความเพียร จิตตะมีใจจดจ่อ วิมังสามีการใคร่ครวยธรรมอย่างต่อเนื่อง ได้รับประสบการณ์ภายในอันมากคุณค่าคราวละหลายคน

                คณะพี่เลี้ยงกล่าวคำต้อนรับ และขอให้ทุกคนช่วยกันรักษาสมบัติส่วนกลางให้ดี เช่นการใช้เครื่องทำน้ำอุ่น การปิดเปิดประตูหน้าต่างอาคาร การใช้ห้องนอน ห้องน้ำ เวลานอน เวลาตื่นนอน การเข้าสู่ห้องปฏิบัติธรรมต้องปิดเครื่องมือสื่อสาร หยุดพูดคุย งดการบอกบุญทุกชนิด (เพราะมีตู้บริจาคไว้ให้แล้ว) ห้ามออกนอกเขตของวัด หนังสือสวดมนต์ใช้แล้วควรเก็บให้เรียบร้อย วางในที่อันเหมาะสม

                ต้นไม้ดอกไม้และกอหญ้าที่เห็นสวยงามอยู่ทั่วไป ขอให้สวยงามอยู่ตามธรรมชาติ ควรชื่นชมเพียงสายตาเท่านั้น เมื่อเข้าบ้านพักแล้วไม่ควรสนทนา (ธรรม) กันจนเกินควร เพราะอาจรบกวนคนที่ต้องการปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเป็นบาปโดยไม่เจตนา หากมีหัวข้อ (ธรรม) ในการสนทนามาก ควรนัดพบกันที่จุดชมวิว หรืออาจคุยที่โรงอาหารได้บ้าง

                บางคนเริ่มรายงานผลการปฏิบัติธรรมแก่พระอาจารย์ว่า นั่งสมาธิแล้วรู้สึกว่าเป็นความทุกข์ เพราะนั่งแล้ว มืดตื้อ เมื่อย คิดฟุ้งซ่านไปทั่ว คำตอบจากพระอาจารย์น่าประทับใจ ท่านตอบว่า มาถูกทางแล้ว เมื่อก่อนอาตมาก็เป็นอย่างนี้  สอนศิษย์มามากก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน ขอให้นั่งต่อไป

                ด้านการปฏิบัติธรรมวันแรกๆ เมื่อพิจารณาโดยละเอียดพบว่า มีอารมณ์ยึดติดอัตตา เมื่อพระอาจารย์บอกว่า ทุกรุ่นมีผู้ที่มีประสบการณ์ภายในที่ดี ทุกครั้ง คิดเอาว่าตนเองปฏิบัติธรรมมานาน การมาปฏิบัติธรรมครั้งนี้ คงต้องได้รับผลบ้างไม่มากก็น้อย

                เปิดบันทึกผลการปฏิบัติวันแรกพบว่า สมาทานศีล 8 และสมาทานธุดงค์ ข้อยินดีที่อยู่ตามที่เจ้าหน้าที่จัดให้ ตั้งใจปฏิบัติมาก แรกรู้สึกพอใจในการนั่ง แต่พอเร่งมากขึ้นกลับเริ่มฟุ้ง เมื่อย และมืดเพราะอารมณ์แรงแม้นิดเดียวทำให้เกิดการ ลุ้น เร่ง เพ่ง จ้อง มีอารมณ์เครียด และปวดศีรษะในที่สุด

                ราว 16.30 น. ออกจากห้องค้นวิชา เพื่อพักผ่อนหย่อนคลายอารมณ์ อาบน้ำ ดื่มน้ำปานะ หลายคนคิดถึงอาหารมื้อค่ำตามความเคยชิน จึงได้แต่ดื่มน้ำปานะหลายแก้วเป็นการทดแทน 18.10 น. เสียงระฆังกังวานไปไกลหลายยอดเขา เหมือนเสียงกู่ร้องแห่งสรวงสวรรค์ให้เหล่านักสร้างบารมีกลับคืนสู่ที่ปฏิบัติธรรมอีกครั้ง

                คนที่กลับเข้าสู่ห้องปฏิบัติก่อนพร้อมก่อนเริ่มนั่งเข้าที่ปฏิบัติก่อน ทำใจใสใจหยุดใจนิ่งไปเรื่อย เมื่อพร้อมกันดีแล้ว พระอาจารย์เข้าสู่ห้องค้นวิชา กล่าวนำทำวัตรสวดมนต์เย็น เสริมบทสวดสำหรับกัลยาณมิตรเพื่อเตือนใจให้ทำความดียิ่งๆ ขึ้นไป

                เปิดบันทึกขณะที่ฟังพระอาจารย์ พบข้อความว่า คนเราอาศัยอยู่ในโลกนี้ ยึดถืออัตตาตัวตนของของตน เหมือนถือของร้อนไว้มั่น ร้อนแสนร้อนแต่ก็ยึดถือไว้ไม่ยอมวาง เมื่อมีคนร้องบอกให้วาง แต่คนส่วนมากกลับไม่ยอมวาง จึงต้องร้อนอยู่อย่างนั้น

                ต่อจากการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว เราเข้าโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ฟังครูไม่ใหญ่ (หลวงพ่อธัมมชโย) เล่าเรื่อง หญิงคนหนึ่งเคยมาร่วมปฏิบัติธรรมที่บ้านธรรมประสิทธิ์ ในวัดปากน้ำจนกระทั่งเห็นองค์พระตามหลักวิชาธรรมกายแล้ว แต่ตอนหลังเลิกไป ไม่มาปฏิบัติธรรม เธอมีครอบครัวตามปกติของชาวโลก สามีคนแรกตายจากไปจึงแต่งงานใหม่เป็นครั้งที่สอง ไม่นานนักสามีคนที่สองเป็นมะเร็งตายไปอีก หญิงคนนี้มีญาณวิเศษมักเห็นวิญญาณปรากฏด้วยตาตนเอง โดยไม่ต้องใช้การนั่งสมาธิ

                ครั้งที่ไปเฝ้าสามีคนที่สองที่โรงพยาบาลเห็นชายชราชาวจีนนั่งอยู่หน้าห้องติดกัน ตอนหลังจึงรู้ว่าชายดังกล่าวตายไปนานหลายปีแล้ว อีกครั้งหนึ่งขณะนอนเฝ้าสามีอยู่ ได้ยินเสียงลึกลับบ่นว่า ทำไมคนนี้มานอนที่ของหนูอีกแล้ว แม้กลับไปบ้านยังได้เห็นสามีมายืนตรงมุมมืดของบ้าน ทั้งที่สามีได้ตายจากไปก่อนหน้าแล้ว

                ครูไม่ใหญ่เล่าต่อว่า สมัยโน้นเพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งสิ้นชีวิตลง เพื่อนกลุ่มหนึ่งต้องการทดสอบจึงขอครูไม่ใหญ่ว่า ถ้าวิญญาณมีจริงขอให้มาบอกข้อสอบให้หน่อย ครูไม่ใหญ่ได้ขออนุญาตคุณยายอาจารย์ เมื่อคุณยายไม่ว่าอะไร คืนนั้นปรากฏว่า มีวิญญาณมาหาเพื่อนๆ จริง จึงเกิดอาการขนหัวลุกกันถ้วนหน้า คนหนึ่งเจอระหว่างอยู่ที่ห้องน้ำ อีกคนเจอระหว่างดูหนังสือ

                สมัยที่ครูไม่ใหญ่เป็นนักศึกษาอยู่หอพัก ช่วงปิดภาคเรียนไม่ค่อยมีคนอยู่ เพื่อนคนหนึ่งมาขอพักนอนด้วย ขณะที่นอนบนเตียงชั้นล่าง (ของเตียงสองชั้น) เห็นขาใครคนใดคนหนึ่งนั่งอยู่เตียงบนแล้วห้อยลงมา ทั้งที่เตียงชั้นบนนั้นไม่มีใครนอน แน่ใจว่า เป็นขาของคนที่ไม่ใช่คน จึงเกิดการย้ายที่นอนกลางดึกคืนนั้นเอง

                เมื่อจบรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาจาก ดีเอ็มซี (DMC) ช่องนี้ช่องเดียว พระอาจารย์นำนั่งสมาธิ สวดมนต์แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลแก่สรรพชีวิตก่อนแยกย้ายกันกลับที่พัก